“จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์” VT THAI ปลุกงานทำมือไทยให้โตไกลระดับโลก

เมื่อการทำธุรกิจไม่ใช่แค่คิดบุกตะลุยไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำการพิสูจน์ให้แน่ชัดก่อนว่า ไอเดียและสิ่งที่มีอยู่ในมือนั้น มีตลาดรองรับอยู่จริง เพื่อจะออกสตาร์ทโดยไม่เสียหลัก เช่นเดียวกับ คุณจิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท วิถี ไทย กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ VT THAI ศูนย์กลางรวบรวมงานหัตถกรรมและงานทำมือของไทย ที่ตลอดเส้นทางของการเริ่มต้นธุรกิจได้ผ่านทั้งการทดลองและทดสอบแล้วว่า เสน่ห์ของงานคราฟต์ไทยนั้น เป็นที่ต้องการจริงในตลาดโลก การได้เดินทางไปยังต่างประเทศแล้วพบเห็นงานคราฟต์ที่สามารถขายได้ในราคาสูง พร้อมทั้งมีดีไซน์ที่สวยงาม ผสานกับการเดินทางไปยังหลายจังหวัดในประเทศไทย ที่แต่ละชุมชนมีเอกลักษณ์ของงานทำมือที่แตกต่างกัน รวมถึงการมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ จุดประกายให้นักธุรกิจหนุ่มรายนี้ วาดภาพอนาคตของงานจักสานหัตถกรรมไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล “แต่ละชุมชน มีเสน่ห์ของงานทำมือที่แตกต่างกัน และมีเรื่องราวที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดแค่ดีไซน์และการตลาด ในแง่ดีไซน์ เขาอาจจะขาดความรู้ในการออกแบบที่ดี เพื่อให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า ส่วนในแง่การตลาด เป็นลักษณะของการขาดช่องทางการขายในต่างประเทศ ที่จะทำให้ขายได้ในราคาที่สูงขึ้นในต่างประเทศ เราจึงตั้งใจที่จะทำแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นหนึ่งช่องทางในการทำให้ชุมชนที่ทำงานทำมือ สามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ และอยากให้แพลตฟอร์มนี้เป็นตัวเชื่อมโยงนักออกแบบทั่วโลกที่อยากจะทำงานกับคนไทยด้วย” โดยสิ่งที่ทาง VT THAI ทำในช่วง 2 ปีแรกของการเริ่มต้น ก่อนที่จะทำการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ในปีหน้า คือ การพิสูจน์ว่า ไอเดียที่คิดนั้นมีตลาดอยู่จริงหรือไม่ ผ่านการร่วมทำงานจริงกับชุมชนต่างๆ “ในช่วงแรกนี้เรายังไม่ได้เน้นเรื่องของแพลตฟอร์มมากนัก เพราะเราต้องพิสูจน์ก่อนว่า ไอเดียที่เราคิดนั้นมีตลาดอยู่จริงหรือไม่ เราลองไปช่วยเหลือและทำงานร่วมกับบางชุมชน ซึ่งก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า งานชุมชนบางชิ้นที่ขายในราคา 500 – 600 บาท เมื่อจับมาแต่งตัวใหม่ สามารถขายได้ถึง 4,000 – 5,000 บาท นอกจากนี้ เรายังอยากรู้อีกว่า นอกจากจะขายได้ในราคาที่สูงขึ้นแล้ว จะมีลูกค้าต่างประเทศที่ยอมซื้อผ่านออนไลน์หรือติดต่อเราหรือไม่ ซึ่งเราสามารถพิสูจน์ได้แล้วในปีนี้ จากการขายสินค้าให้กับโรงแรมในแถบอเมริกาใต้และสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงแบรนด์แฟชั่นในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ถึงแม้ออเดอร์อาจจะไม่ใหญ่มากนัก เพียงหลักแสนบาท แต่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ภายใน 2 ปีแรกแล้วว่า สิ่งที่เราคิดนั้นมีตลาดอยู่จริงและสามารถขายได้ทั่วโลก” การเริ่มต้นด้วยการหยิบงานจักสานมาเป็นตัวชูโรงของการทำแพลตฟอร์มนั้น คุณจิรโรจน์ บอกว่า ก็เพื่อทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ชัดเจนว่า เมื่อเห็น VT THAI ก็จะนึกถึงงานคราฟต์ งานทำมือ และงานหัตถกรรมของไทย ที่ทุกชิ้นงานต่างมีเสน่ห์และเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง “ด้วยความที่ตัวเองทำมาแล้วหลายธุรกิจ จึงเกิดความคิดว่า ถ้าเราจะทำธุรกิจอีกสักอย่างให้ขายได้ทั่วโลก เราควรที่จะมองหาจุดที่เมืองไทยมี และเป็นจุดที่คนอื่นไม่มี ที่สำคัญควรที่จะมี Social Impact หรือมีผลกระทบที่ดีต่อคนอื่นด้วย สอดคล้องกับสโลแกนที่ว่า VT THAI เป็น Artisanal Handcraft with Social Impact หรือ งานทำมือที่มีผลกระทบที่ดีต่อสังคม เพราะทุกครั้งที่ลูกค้าซื้องานเรา เท่ากับเป็นการสนับสนุนการค้าอย่างเป็นธรรม (Fair Trade) เพราะเราไม่ได้ไปกดเงินกับชุมชน เราจะคุยกับชุมชนทุกครั้งว่า เขาต้องการเวลาในการทำงานชิ้นนั้นเท่าไร และอยากขายในราคาเท่าไร และแน่นอนว่า เสน่ห์ของชุมชนในเมืองไทยที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งสะท้อนผ่านทางงานจักสานหรืองานทำมือต่างๆ เป็น True Story หรือเรื่องจริงที่สามารถขายได้ ถ้าเรารู้จุดในการเติมเต็มการตลาดและการออกแบบเข้าไป” เพราะรู้ดีว่าโปรเจกต์แบบนี้เป็นสิ่งที่ยาก และมีหลายคนที่พยายามทำมาแล้ว ทางบริษัทจึงต้องการที่จะทำแพลตฟอร์มที่สามารถเข้าถึงทุกคนได้จริง และเป็นช่องทางการเชื่อมโยงระหว่างคนทำงานทำมือ นักออกแบบ และผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าได้อย่างแท้จริง “เราตั้งใจที่จะทำงานกับทุกชุมชนในเมืองไทย เพียงแต่ในช่วงแรกจะเน้นไปที่ชุมชนตัวอย่าง ที่เขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง อยากจะพัฒนา อยากจะเติบโต และอยากที่จะรักษาเสน่ห์งานคราฟต์ตรงนี้ไว้ก่อนเป็นลำดับแรก ซึ่งในแต่ละชุมชนจะมีปัญหาที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะขาดเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน บางคนอาจจะขาดเทคนิคในการขึ้นโครงเฟอร์นิเจอร์ หรือเทคนิคในการเย็บกระเป๋า บางคนอาจจะขาดการ Sourcing อะไหล่ที่ดี ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับต่างประเทศ ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือ เราต้องรู้ว่าเขามีฝีมือตรงไหน และจะเข้าไปเติมเต็มในจุดที่เขาขาดได้อย่างไร เพื่อให้ชุมชนได้ทำในส่วนที่เขาถนัด ส่วนเราก็เป็นคนคอยบริหารจัดการให้” โดยเป้าหมายภายใน 5 ปี ของ VT THAI นั้น ต้องการทำให้ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าอยากได้งานทำมือของไทย ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบแบบดั้งเดิม หรืองานออกแบบแบบสมัยใหม่ จะสั่งแบบ Retail สั่งแบบ Wholesale หรือเป็นนักออกแบบที่อยากร่วมมือกับงานคราฟต์ไทย ต้องคิดถึง VT THAI เป็น Top 3 “เราต้องการให้คนทั่วโลกที่อยากได้ของเกี่ยวกับงานทำมือของไทย คิดถึงเราเป็นลำดับต้นๆ อย่างทุกวันนี้ ถ้าอยากซื้อของจากอเมริกา คนจะนึกถึง Amazon หรือถ้าอยากซื้อของออนไลน์ในญี่ปุ่นจะคิดถึง Rakuten หรือในเมืองไทยอาจจะคิดถึง Lazada หรือ Shopee หรือ หากอยากได้ซัพพลายเออร์ที่น่าเชื่อถือจากจีน อาจจะคิดถึง Alibaba เราเองก็เช่นเดียวกัน ที่อยากให้ทุกคนนึกถึงเราในฐานะของการเป็น Thai Handcraft Marketplace ดังนั้น การที่จะทำให้แพลตฟอร์มหรือธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลงทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วในการทำ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราจะทำอย่างไรให้แพลตฟอร์มนี้ สามารถช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่ดีขึ้นจริง ชุมชนสามารถขายสินค้าได้จริงในต่างประเทศ ดีไซเนอร์สามารถมาทำงานร่วมกับชุมชนได้จริง เพราะฉะนั้น เราจึงร่วมทำงานกับชุมชนตัวอย่างก่อน เพื่อทำให้เข้าใจเขามากที่สุด เพื่อนำไปสู่การออกแบบแพลตฟอร์มให้ใช้งานง่ายกับพวกเขาทั้งสองฝ่าย” และเมื่อตลาดของงานทำมือมีทิศทางของการเติบโตที่ดี ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วจากความสำเร็จของเว็บไซต์ในสหรัฐอเมริกาอย่าง Etsy ที่เน้นกระจายงานคราฟต์หรือของทำมือสู่ทุกมุมโลก รวมถึงเว็บไซต์ขายงานแฮนด์เมดในอังกฤษอย่าง Folksy ที่ต้องมีร้านอยู่ในเกาะผู้ดีเท่านั้นถึงจะโพสต์ขายของได้ เป็นสิ่งที่ คุณจิรโรจน์ บอกว่า แค่ 2 เว็บไซต์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า งานทำมือ ไม่ว่าจะเป็นจักสานหรืออะไรก็ตาม มีตลาดรองรับในต่างประเทศ และมีโอกาสในการเติบโต “ดังนั้น คนไทยเราไม่จำเป็นต้องมาแข่งกันขายสินค้าราคาต่ำในประเทศไทย แต่ทุกคนควรแข่งกันสร้าง Story พัฒนาสินค้า พัฒนาคุณภาพ แล้วไปขายต่างประเทศมากกว่า ซึ่ง VT THAI เองเป็นเหมือนแรงกระตุ้นเล็กๆ ที่ทำขึ้น เพื่อสนับสนุนและทำงานร่วมกันกับทุกคนให้เติบโตไปด้วยกัน” สุดท้าย นักธุรกิจรุ่นใหม่รายนี้ ฝากไว้ว่า “ในการทำธุรกิจ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การวางแผนและการทดสอบ เราควรวางแผนให้รอบคอบ และทดสอบก่อนว่า สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราจะทำนั้น มีตลาดรองรับอยู่จริง สามารถเป็นไปได้จริง ถ้าเราทดสอบแล้วจริง ปลายทางเห็นโอกาสที่จะทำได้ เราก็ค่อยๆ วางแผน ค่อยๆ ลงมือ เพื่อเปลี่ยนธุรกิจในฝันให้กลายเป็นความจริงได้”   Published on 27 September 2019 SMEONE "ทุกเรื่องครบ...จบในที่เดียว"

บทความแนะนำ

"ชื่นชีวัน วงษ์เสรี" Globish ธุรกิจสอนภาษาออนไลน์ สร้างโอกาสโตบนเทคโนโลยี

“เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กจนโต ทำไมยังพูดไม่ได้สักที” เชื่อว่าเป็นคำถามคาใจที่หลายคนเคยถามตัวเองอยู่เหมือนกัน และไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น เพราะคุณชื่นชีวัน วงษ์เสรี ผู้ร่วมก่อตั้ง Globish สถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวที่เน้นการพูดกับโค้ชชาวต่างชาติ ก็เห็นถึงจุดนี้เช่นกัน แต่เธอไม่ได้แค่คิดหาเหตุผล กลับลงมือที่จะแก้ปัญหาแทน นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาออนไลน์ ที่เกิดจากความปรารถนาอยากเห็น “คนไทยพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นและพูดได้จริง” หยิบปัญหาสังคม มาสร้างโอกาสทางธุรกิจ ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของการเดินทางเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบการศึกษาเอกธุรกิจระหว่างประเทศ การขนส่งและโลจิสติกส์ จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณชื่นชีวัน มองเห็นว่า ประเทศไทยมีปัญหาที่ผู้คนส่วนมากยังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างแท้จริง จึงเกิดความต้องการจะทำให้ประเทศดีขึ้นด้วยการทำอะไรสักอย่าง และด้วยความที่เพิ่งเรียนจบ สิ่งแรกที่มองเห็นจึงเป็นเรื่องการศึกษา จึงเป็นที่มาของการก่อตั้ง Globish แห่งนี้ “การศึกษาไทยสอนคนให้ทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้ ท่องแกรมม่าได้ คำศัพท์ได้ แต่ว่าพูดไม่ได้ ซึ่งในชีวิตของการทำงานจริงๆ คนเราต้องใช้การพูดมากกว่าทักษะอื่นด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่านี่คือปัญหาที่เรื้อรังมานาน” Globish ถูกสร้างขึ้นเป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ที่ใช้เทคโนโลยีออนไลน์เป็นสื่อกลางในการเรียนแบบตัวต่อตัวที่เน้นการพูดกับโค้ชชาวต่างชาติ ผ่านระบบจองเวลาเรียนที่ให้นักเรียนเลือกโค้ชผู้สอนได้ด้วยตนเอง และเรียนผ่านระบบวิดีโอคอลแบบเรียลไทม์ สามารถเห็นหน้า ได้ยินเสียงกันสดๆ และเรียนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปแบบธุรกิจในญี่ปุ่น ที่เด็กญี่ปุ่นปั่นจักรยานไปพร้อมๆ กับการเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการใส่หูฟังและเรียนจริงๆ กับคุณครูต่างประเทศ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก “เราไม่ใช่ Marketplace ที่ครูอยากสอนก็เข้ามาสอนได้ หรือเด็กอยากเรียนก็เลือกครูเอาเองได้ แต่เราเป็นสถาบันที่ครูทุกคนต้องมีใบรับรอง เป็นที่ยอมรับในระดับสากล หรือ TEFL (Teaching English as a Foreign Language) และนักเรียนจะต้องมีการสอบวัดระดับก่อนและหลังเรียน เราเหมือนเป็นโรงเรียนจริงๆ เพียงแค่อยู่บนออนไลน์ สามารถเรียนได้จากทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค หรือคอมพิวเตอร์ ปัจจุบัน สถาบันมีครูกว่า 100 คนที่พร้อมพูดคุยกับนักเรียน ทั้งจากประเทศเจ้าของภาษา อย่าง อังกฤษและอเมริกา รวมถึงครูที่อยู่ในโซนยุโรป โซนเอเชีย และครูคนไทยสำหรับคนที่ไม่พร้อมคุยกับชาวต่างชาติ” พัฒนาระบบ สร้างจุดต่างให้ธุรกิจสอนภาษาออนไลน์ การที่มีระบบวิดีโอคอลเป็นของตัวเอง ทำให้สถาบันควบคุมคุณภาพการเรียนการสอนได้ง่ายขึ้น แตกต่างจากช่วงแรกๆ ที่ต้องอาศัยระบบของคนอื่น “ความยากอย่างหนึ่งที่เราเจอตอนแรกๆ คือ เรายังไม่มีระบบแพลตฟอร์มที่เป็นวิดีโอคอลของตัวเอง ถ้าลองศึกษาจากสถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์เจ้าอื่น จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะใช้ Skype หรือโปรแกรมอื่น ซึ่งช่วงแรกเราก็พึ่งพาระบบของคนอื่นเหมือนกัน แต่พบปัญหาว่า บางทีนักเรียนลืมรหัสผ่าน หรือเราไม่สามารถควบคุมคุณภาพของการสอนได้ เพราะว่าไม่ได้อยู่ในห้องเรียนนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงได้พัฒนาระบบของตัวเองขึ้นมา ผู้เรียนสามารถจองเวลาเรียนผ่านเว็บไซต์ พอถึงเวลาก็แค่กดเข้าห้องเรียนผ่านเว็บไซต์ และในระหว่างเรียน เราสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ว่า การสอนเป็นอย่างไรบ้าง หรือนักเรียนตั้งใจเรียนหรือไม่ นอกจากคุณภาพของการเรียนการสอนจะดีขึ้นแล้ว ระบบนี้ยังทำให้ Globish แตกต่างจากคนอื่นๆ” ออกแบบการเรียนให้ตรงใจลูกค้าเป้าหมาย ปัจจุบันกลุ่มผู้เรียนของ Globish แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ผู้ใหญ่วัยทำงาน และเด็กที่มีอายุ 7 – 14 ปี ซึ่งกลุ่มแรกถือเป็นลูกค้าส่วนใหญ่และเป้าหมายของสถาบัน “คนวัยทำงานที่มาเรียนกับเราส่วนใหญ่ เป็นระดับผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือเจ้าของธุรกิจที่มีความสามารถในทุกด้าน แต่ขาดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งส่งผลต่อความก้าวหน้าในการทำงานและโอกาสในการขยายธุรกิจ โดย Globish ได้ออกแบบการเรียนที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ โดยเฉพาะเรื่องของเวลา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก อย่างสถาบันอื่นๆ ส่วนใหญ่จะปิด 6 โมงเย็นหรือไม่ก็ 2 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่บางคนเพิ่งจะเลิกงาน เราจึงจัดเวลาให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย คนที่เรียนกับเราส่วนใหญ่จะเรียนตั้งแต่ 3 ทุ่มถึงเที่ยงคืน และด้วยข้อดีของการเรียนแบบตัวต่อตัว ทำให้ภายใน 25 นาทีของการเรียน สามารถเรียนภาษากับโค้ชส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ เรียกว่าในท้องตลาดตอนนี้ยังไม่มีใครที่จะตอบโจทย์เขาได้ นอกจากเรา” ในขณะที่ผู้เรียนกลุ่มเด็ก สถาบันจะเน้นไปที่การเรียนเพื่อทักษะของศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) มากกว่าภาษาอังกฤษแบบดั้งเดิม คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดย 4 ทักษะที่ Globish ให้ความสำคัญคือ การสื่อสาร (Communication) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และ การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) ซึ่ง 4 ทักษะนี้มีความจำเป็นต่อโลกอนาคต ออนไลน์-ออฟไลน์ ส่วนผสมการตลาดที่ต้องทำควบคู่กัน ในแง่ของการตลาด ด้วยความเป็นสถาบันออนไลน์ ทำให้ Facebook และ Google  เป็นช่องทางหลักสำหรับทำการสื่อสารไปยังลูกค้า แต่ในขณะเดียวกัน การตลาดแบบออฟไลน์ก็เป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ เพื่อทำให้คนได้รู้จักสถาบันในวงที่กว้างขึ้น “เราเชื่อว่าคนที่มาเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ต้องเป็นคนหัวทันสมัย Content ที่เราทำ มักจะมีการใช้คำที่เรียกว่า กระแทกใจคนอ่านถึงกับต้องมาซื้อคอร์สอย่าง “เป็นหัวหน้า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ อายลูกน้องไหม” และด้วยความที่เป็นเรื่องของการศึกษา การตลาดแบบออฟไลน์ก็เป็นสิ่งที่ไม่มองข้าม เพราะต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ โดยอีกช่องทางที่ทำให้คนรู้จักเรา มาจากการได้รับเชิญไปสอนตามมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน ซึ่งช่วยให้คนเห็นว่า สถาบันของเรามีตัวตนจริงๆ แม้จะสอนบนออนไลน์ก็ตาม” เข้าใจลูกค้า เคล็ดลับสร้างยอดรายได้โต 400% ต่อปี หากมองในแง่ของความสำเร็จ Startup รายนี้ถือได้ว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 400% ต่อปีในช่วง 3 ปีให้หลังมานี้ นั่นเป็นเพราะ Globish เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง “ทุกอย่างเกิดจากการที่เราเข้าใจลูกค้าหรือนักเรียนจริงๆ เราไม่ได้มีทีมการตลาดแบบที่นั่งอยู่แต่ในออฟฟิศ โดยที่วันๆ เอาแต่คิดว่าจะขายอย่างไรให้ได้ แต่เกิดจากการที่เราทำ Focus Group กับกลุ่มลูกค้าจริงๆ มีการจัด Workshop โดยให้ทีมการตลาดเข้าไปเล่นเกมกับลูกค้า ทำให้รู้ว่า ลูกค้าเป็นใคร คิดอะไร ทำอะไร บ้านอยู่ไหน เราเคยถามลูกค้าคนหนึ่งว่า ปกติเขาเดินทางมาร่วมกิจกรรมด้วยช่องทางไหนบ่อยที่สุด คำตอบแถบไม่น่าเชื่อ เขาเดินทางด้วยเครื่องบินบ่อยที่สุด เนื่องจากบ้านอยู่ต่างจังหวัด และบินมากรุงเทพฯ สัปดาห์ละ 2 – 4 ครั้ง โดยสารเครื่องบินบ่อยกว่ารถยนต์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรารู้คือ การทำโฆษณาบนวิทยุหรือบิลบอร์ดตามรถ อาจจะไม่ได้ผลกับลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นการบ้านให้เราต้องคิดหาช่องทางอื่นๆ ในการเจาะคนกลุ่มนี้ให้ได้ในอนาคต” สุดท้ายแล้ว คุณชื่นชีวัน ฝากถึงเจ้าของกิจการ หรือผู้ประกอบการ ว่า ปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำคือ การปรับตัวและเรียนรู้ตลอดเวลา โดยเฉพาะคนที่คิดอยากจะขยายธุรกิจ ต้องสามารถพยากรณ์ถึงเทรนด์ที่จะมาล่วงหน้าได้   Published on 18 September 2019 SMEONE "ทุกเรื่องครบ...จบในที่เดียว"

บทความแนะนำ

3 คำถามสำคัญ ก่อนตัดสินใจเปิดธุรกิจของตัวเอง

หลายคนอาจอยากจะเป็นเจ้าของกิจการเอง และมีภาพฝันถึงอิสระในเรื่องเวลาทำงานกับผลตอบแทนงามๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว หนทางนั้นคงไม่ง่ายและสวยงามอย่างที่คิด หากใครกำลังสับสนอยู่ว่าควรทำงานประจำต่อหรือออกไปทำธุรกิจเองดี Ashley Stahl ที่ปรึกษาด้านการหางาน แนะนำให้ลองถามตัวเอง 3 ข้อนี้ดูก่อน ว่าจะได้คำตอบอย่างไร 1) สิ่งที่คุณกำลังตามหาคือ ‘ความเป็นอิสระ’ หรือ ‘ความอะลุ่มอล่วย’? ลองถามตัวเองดูก่อนว่าต้องการ ‘ความเป็นอิสระ’ โดยการได้เป็นเจ้าของกิจการ หรือแท้จริงแล้วเป็นเพียง ‘ความอะลุ่มอล่วย’ ในเวลาการทำงาน Ashley Stahl กล่าวว่า บางครั้งสิ่งที่หลายคนต้องการอาจเป็นเพียงเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น ให้คุณสามารถออกไปพบเพื่อนๆ ในยามบ่าย เดินซื้อกาแฟก่อนเข้าทำงาน หรือมีเวลาได้ไปรับลูกๆ ที่โรงเรียน หากเป็นเช่นนั้น ทางที่ดีคุณควรลองพูดคุยกับหัวหน้าของคุณถึงความเป็นไปได้ในการอะลุ่มอล่วยเรื่องเหล่านี้ว่าสามารถเป็นไปได้หรือไม่ ฟังแล้วอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่หากคุณลองหาเหตุผลดีๆ ว่าทำไมและเพราะอะไร แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ทั้งคุณและองค์กรจะได้รับ เชื่อว่าหลายบริษัทจะต้องรับฟังคุณอย่างแน่นอน เธอยังกล่าวอีกว่า หากทางบริษัทปฏิเสธคำขอของคุณก็ไม่เป็นไร เชื่อเถอะว่ายังมีอีกหลายบริษัทที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเรื่องเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นได้

“บางครั้งคุณอาจจะไม่ได้อยากเป็นเจ้าของกิจการเอง เพียงแต่ต้องการงานที่ยืดหยุ่นได้ในเรื่องเวลา”

2) ค่านิยมของคุณไปกันได้กับการเป็นเจ้าของกิจการไหม? การเป็นเจ้าของกิจการเองนั้นอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่มีจิตใจเปราะบางสักเท่าไร เพราะกว่าจะถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้อาจเรียกได้ว่า ‘เลือดตาแทบกระเด็น’ เลยทีเดียว Ashley Stahl กล่าวว่า เธอเคยสูญเสียเงินกับการทำธุรกิจมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ และถือเป็นจุดที่เธอตกต่ำที่สุดในชีวิต เธอแนะนำว่า ให้ลองพิจารณาความเชื่อเรื่องการเงินของตัวเองดูก่อนว่า ระหว่างการมีรายได้ต่อเดือนที่แน่นอน กับความเชื่อมั่นในตัวเองโดยลุยทำธุรกิจที่เสี่ยงทางการเงิน อย่างไหนที่คุณรับได้? เพราะในปัจจุบันเกินกว่าครึ่งของธุรกิจหน้าใหม่ที่เปิดตัวนั้น ประสบกับความล้มเหลวในช่วง 4 ปีแรกของการทำธุรกิจ

“คุณพร้อมรับความสูญเสีย ก่อนความสำเร็จจะมาถึงหรือไม่ นี่ถึงเป็นเหตุผลว่า

ทำไมการเป็นผู้ประกอบการถึงเป็นพาหนะชั้นดีสำหรับการเติบโตและพัฒนาตัวเอง”

3) ลองทำอาชีพเสริมหรือยัง? อาชีพเสริมถือเป็นแรงบันดาลใจ และเป็น safe way ชิมลางเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ ที่นอกจากจะช่วยสร้างรายได้เสริมแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันความฝันที่คุณมีได้ว่า การทำธุรกิจของตัวเองใช่ความฝันของคุณจริงๆ ไหม Ashley Stahl เล่าให้ฟังว่า เธอเคยมีลูกค้าที่ประสบความสำเร็จจากการลองทำอาชีพเสริม แล้วพบว่าอาชีพเสริมที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะกับเขา โดยระหว่างการเป็นลูกจ้างก็เก็บเงินและค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องการเงินเพื่อสร้างความสำเร็จ จนในที่สุดอาชีพเสริมก็กลายมาเป็นอาชีพแบบเต็มเวลาที่เป็นกิจการของเขาในที่สุด

“การเป็นเจ้าของกิจการก็เหมือนรถไฟเหาะ เพราะฉะนั้น คุณต้องแน่ใจว่าเวลาไหนที่เหมาะกับการกระโดดขึ้นไป ถ้ามันใช่ โอกาสและรายได้ก็รอคุณอยู่!”

  Published by ETDA on 8 May 2019 SMEONE “ทุกเรื่องครบ…จบในที่เดียว”          

บทความแนะนำ

อายุไม่ใช่อุปสรรค ชีวิต ”สตาร์ทอัพ” อีกครั้งหลัง 60

เส้นทางความสำเร็จของชีวิต ไม่ได้หยุดแค่วัยเกษียณ และความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อาจเริ่มต้นใหม่ เหมือน “ผู้พันแซนเดอร์ส” ที่เริ่มต้นธุรกิจไก่ทอดแบรนด์ KFC ในวัย 62 ปี!!! ในปี 2564 หรืออีกแค่เพียง 2 ปี ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 2 ของภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete aged society) โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณการว่า ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 13 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และในอีก 20 ปีข้างหน้าหรือปี 2583 จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของคนไทย ทั้งนี้ จะมีผู้สูงอายุวัย 80 ปีขึ้นไปมากถึง 3.5 ล้านคน เมื่อผู้สูงวัยครองเมือง      คำถามตามมาคือ เมื่อมีผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากแล้ว ประเทศจะเป็นอย่างไร ในแง่หนึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจาก
  • มีผู้สูงวัยเพียง 40% ที่มีรายได้เพียงพอเลี้ยงดูตัวเองหลังเกษียณ
  • รายได้ต่อหัวของไทยต่ำกว่าประเทศอื่นที่เข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว โดยอยู่ที่ 5,700 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี
  • รายได้หลักของผู้สูงวัยส่วนใหญ่มาจากบุตร ร้อยละ 34.7 รองลงมาคือการทำงานของผู้สูงวัยเอง ร้อยละ 31
  • ประชากรวัยทำงาน ต้องรับภาระประชากรสูงวัยและวัยเด็ก ร้อยละ 51 และคาดว่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 64 ในปี 2570
5 เทรนด์ธุรกิจสำหรับผู้สูงวัย ไฟยังไม่มอด เชื่อว่าผู้สูงวัยหลายคนแม้จะเกษียณอายุแล้วแต่ก็ยังไม่หมดไฟ ยังมีความสามารถทำธุรกิจได้มากกว่าการเลี้ยงหลานอยู่กับบ้านเฉยๆ ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า การเลือกอาชีพหลังเกษียณของกลุ่มผู้สูงวัย สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ควรเลือกทำในสิ่งที่ถนัด มีความเสี่ยงต่ำ ใช้เงินลงทุนไม่มาก ทำแล้วมีความสุข โดยมี 5 เทรนด์ธุรกิจที่น่าสนใจมาแนะนำดังนี้
  • ธุรกิจแฟรนไชส์
แฟรนไชส์ เป็นหนึ่งในอาชีพที่ง่ายต่อผู้สูงวัย เพราะเป็นธุรกิจที่มาพร้อมกับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ หลายแบรนด์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีเครื่องหมายการค้าได้รับการยอมรับอยู่แล้ว มีการโฆษณาและสนับสนุนการขายร่วมกับเจ้าของแฟรนไชส์ (แฟรนไชส์ซอร์) ได้รับการฝึกอบรมและถ่ายทอดความเชี่ยวชาญ และได้รับความช่วยเหลือแนะนำและให้บริการต่างๆ จากแฟรนไชส์ซอร์ตามข้อตกลง จึงช่วยย่นระยะเวลาการเรียนรู้ในการทำธุรกิจ ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
  • ธุรกิจ Influencer
เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ผู้สูงวัยสามารถสร้างเป็นธุรกิจทำเงินได้ สำหรับ Influencer หรือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น บล็อกเกอร์ ยูทูปเปอร์ อินสตราแกรมเมอร์ ซึ่งผลการวิจัยทางการตลาด The power of influencer marketing บ่งชี้ว่า จากสถิติการใช้ Influencer เพียงจำนวน 3% สามารถสร้างผลกระทบและการรับรู้บนโซเชียลมีเดียได้มากถึง 90% และการเลือกใช้ Influencer สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับแบรนด์ได้มากถึง 65% โดยเฉพาะคนยุค Millennial (อายุ 24-35 ปี) และ Gen Z (อายุ 16-23 ปี) จะค่อนข้างเชื่อถือในตัว Influencer มากกว่าแคมเปญโฆษณาราคาแพง ทำให้บริษัทโฆษณาหรือคนที่อยากทำการตลาดในกลุ่ม Gen Z Millennial หันมาจ้าง Influencer มากขึ้น เช่น กูรูความงามและแฟชั่น คนที่ชอบท่องเที่ยวและชิมอาหาร ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเกม ดนตรี ภาพยนตร์ รวมไปถึง Celebrity ด้วย
  • ธุรกิจฟรีแลนซ์ / ที่ปรึกษาให้กับองค์กรต่างๆ
ด้วยประสบการณ์ของผู้สูงวัยที่สั่งสมมายาวนาน โดยเฉพาะงานที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะด้านและมีความน่าเชื่อถือ เช่น แพทย์ นักบัญชี นักการเงิน-การธนาคาร นักเขียน นักแปล ฯลฯ เป็นงานที่สามารถทำที่บ้าน หรือทำได้ตามเวลาที่ต้องการ นอกจากนี้หลายๆ องค์กรมักจะเชิญผู้เกษียณอายุที่มีความเชี่ยวชาญกลับทำงานเป็นที่ปรึกษาในด้านต่างๆ เพราะมีประสบการณ์ในการทำงานและการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า ซึ่งการจ้างงานลักษณะนี้ เป็นหนึ่งในวิธีบริหารต้นทุนแรงงานของธุรกิจในปัจจุบัน เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับพนักงานประจำ
  • ธุรกิจค้าขาย ทั้ง Online และ Offline
เรื่องของวัยอาจไม่ใช่อุปสรรคสำหรับธุรกิจค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านขายของ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ งานประดิษฐ์ งานเย็บปัก-ถักร้อย ผู้สูงวัยสามารถที่จะทำได้ เพียงแต่ต้องเลือกขายสินค้าที่ตนเองมีความรู้หรือสนใจ ซึ่งการเปิดร้านขายของมีข้อดีตรงที่ทำให้ผู้สูงอายุ มีโอกาสพบปะพูดคุยกับลูกค้า ช่วยให้ไม่เหงา ดีต่อสุขภาพกายและใจ ขณะที่การขายของออนไลน์ก็สามารถเริ่มต้นง่าย ใช้เงินลงทุนไม่มาก แถมมีโอกาสทำเงินได้สูง ยิ่งหากมีลูกหลาน เข้ามาช่วยพัฒนาช่องทางออนไลน์ ยิ่งเป็นโอกาสให้งานดังกล่าวประสบความสำเร็จมากขึ้น
  • ธุรกิจการเกษตร
การปลูกต้นไม้ ปลูกผัก เลี้ยงปลาสวยงาม ฯลฯ งานอดิเรกเหล่านี้สามารถพัฒนาไปเป็นธุรกิจสำหรับผู้สูงอายุได้ อาจเริ่มตั้งแต่ปลูกไว้กินเองเมื่อเหลือก็นำออกขาย ซึ่งเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจุบันมีผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยที่พัฒนาจากงานอดิเรก จนกลายเป็นอาชีพสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ปั้นผู้สูงวัยให้เป็นผู้ประกอบการ SME สำหรับผู้สูงวัยที่อยากเริ่มต้นอาชีพใหม่แบบมีความมั่นใจมากขึ้น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้วางแนวทางในการส่งเสริมเพื่อสร้างผู้ประกอบการสูงวัย ภายใต้กิจกรรม Born@50 Plus ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหนึ่งภายใต้โครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Early Stage) โดยจะมุ่งพัฒนากลุ่มเป้าหมายที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ให้มีความพร้อมจะริเริ่มและสามารถเลือกทำธุรกิจที่สนใจได้ตามศักยภาพตัวเอง โดย สสว. จะวางแผนล่วงหน้าให้คนกลุ่มนี้ก่อน 10 ปี เพื่อสร้างให้เข้าใจกลไกธุรกิจก่อนวัยเกษียณ เรียนรู้การใช้ประสบการณ์ ความรู้ความเชี่ยวขาญในสิ่งที่ตนมีพัฒนาให้กลายเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้ต่อไป สำหรับการดำเนินงานในปี 2562 มีกลุ่มผู้สูงวัยเข้าร่วมกิจกรรม 141 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการอบรมเชิงลึก จำนวน 97 ราย ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นผู้ประกอบการอยู่แล้วที่เข้ารับการพัฒนา เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเอง และกลุ่มที่จะออกมาเป็นผู้ประกอบการใหม่ต่อไป ยกตัวอย่าง คุณอมราวดี สงวนศักดิ์ หรือป้าตา วัย 65 ปี ถึงแม้จะเกษียนอายุจากพนักงานของธนาคารออมสินแล้ว แต่ไม่ได้หยุดชีวิตการทำงาน โดยไปเรียนรู้ด้านแพทย์แผนไทย จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จนสามารถนำสมุนไพรพื้นบ้านมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เกือบ 30 ชนิด อาทิ น้ำมันนวดเข่า แชมพู ฯลฯ วางจำหน่ายผ่านร้านของฝาก และช่องทาง Facebook (อัมรา ยาไทย) รวมถึงขยายตลาดไปที่ญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์ PINYAHERB อีกด้วย นอกจากนี้ยังเข้ารับการส่งเสริมจาก สสว. เพื่อเข้าสู่การค้าออนไลน์ ภายใต้โครงการ SME Online เช่นเดียวกับคุณพรชัย จินตโนทัยถาวร ที่ไม่ขอหยุดพักความสามารถของตัวเองไว้ในวัย 64 ปี ด้วยการอัพเดตความรู้ให้แน่นขึ้นกับโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Early Stage) ปี 2562 กลุ่ม Born@50+ ของ สสว. จนสามารถลับคมฝีมือประดิษฐ์งานกัดกระจก โดยนำมาแกะลายและนำไปพ่นทรายในเครื่อง และทำการลงสีตามลักษณะของชิ้นงาน สร้างงานที่เป็นเอกลักษณ์ จนได้รับความไว้วางใจจากทั้งร้านอาหาร ร้านของตกแต่ง บ้านจัดสรรและคอนโดที่นำไปตกแต่งภายในบ้าน นี่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเลขกำหนดชะตาชีวิต แต่เลือกที่จะลิขิตชีวิตในแบบฉบับที่เขาเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง   Published on 1 August 2019 SMEONE "ทุกเรื่องครบ...จบในที่เดียว"

บทความแนะนำ

3 ขั้นตอนจดทะเบียนบริษัทได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทสำหรับผู้ประกอบการหลายๆ คนมองมักว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบาก เพราะต้องมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องเตรียมเอกสารมากมาย แต่ปัจจุบันกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการพัฒนาระบบการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ผ่านทาง www.dbd.go.th เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ สามารถดำเนินการจดทะเบียนนิติบุคคลได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ดังนั้น มาดูกันว่าหากผู้ประกอบการจะจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยตนเองต้องทำอย่างไรบ้าง   1. จองชื่อบริษัท สิ่งแรกที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการ คือ จองชื่อบริษัท ด้วยการเข้าไปยื่นจองชื่อนิติบุคคลผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ www.dbd.go.th คลิกที่เมนู จองชื่อนิติบุคคล ซึ่งชื่อที่จะใช้นั้นต้องไม่ซ้ำ หรือใกล้เคียงกับบริษัทที่เคยจดทะเบียนไปแล้ว โดยจะทำการจองได้ครั้งละ 1 ชื่อเท่านั้น จากนั้นให้ดำเนินการจองชื่อและนายทะเบียนจะทำการตรวจสอบ เมื่อจองชื่อได้แล้วจะต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วัน ไม่เช่นนั้นต้องทำการจองชื่อใหม่ 2. จัดเตรียมข้อมูลให้พร้อม ในการจดทะเบียนบริษัท ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเตรียมข้อมูลสำหรับจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและการจดจัดตั้งบริษัท ซึ่งหนังสือบริคณห์สนธิ คือ หนังสือที่แสดงความต้องการในการจัดตั้งบริษัท มีไว้เพื่อระบุขอบเขตต่างๆ ของธุรกิจ โดยผู้ประกอบการสามารถจดทะเบียนบริษัทและจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิไปในคราวเดียวกันได้ แต่จะต้องมีการเตรียมข้อมูลให้พร้อมเพื่อความถูกต้องและรวดเร็ว สำหรับข้อมูลที่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมมีดังนี้
  1. ชื่อบริษัทตามที่ได้จองไว้
  2. รายละเอียดที่ตั้งสำนักงานใหญ่ หากไม่ได้เป็นเจ้าของสถานที่เอง ต้องมีหนังสือยินยอมให้ใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่
  3. วัตถุประสงค์ของบริษัทต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
  4. ทุนจดทะเบียน เป็นการจำกัดความรับผิดชอบความเสียหายที่บริษัทอาจก่อขึ้น ส่วนใหญ่นิยมจดกันที่ 1 ล้านบาท
  5. ข้อมูลผู้เริ่มก่อการ หากอธิบายง่ายๆ ก็คือ ผู้ก่อตั้งธุรกิจนั่นเอง จะต้องมีอย่างน้อย 3 คน และต้องจองซื้อหุ้นอย่างน้อยคนละ 1 หุ้น
  6. ข้อมูลผู้ถือหุ้น ชื่อ-สกุล ที่อยู่ สัญชาติ และจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคน
  7. ข้อมูลพยาน ต้องมี 2 คน โดยกรอก ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน วันเกิด ที่อยู่ อาชีพ
  8. รายละเอียดการประชุมจัดตั้งบริษัท เช่น ข้อมูลกรรมการบริษัท ชื่อ-สกุล ที่อยู่ และวันเกิดของกรรมการบริษัทแต่ละคน ข้อมูลผู้สอบบัญชี โดยกรอกชื่อ-นามสกุล เลขทะเบียนผู้สอบบัญชี และค่าตอบแทน และอำนาจกรรมการ ระบุจำนวนกรรมการที่มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัท และระบุว่าต้องมีตราประทับหรือไม่ ถ้าเลือกต้องมีตราประทับก็จะต้องจัดทำตรายางด้วย เป็นต้น
3. ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผ่านระบบออนไลน์ การยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท สามารถดำเนินการผ่าน ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ในเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยสามารถยื่นจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ทั้งในรูปแบบของห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทจำกัด เริ่มจากลงทะเบียนเพียงครั้งเดียว เพื่อขอรับ Username และ Password สำหรับใช้งานระบบ e-Registration ได้ที่ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1-6 หรือ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ โดยผู้ประกอบการต้องไปแสดงตัวตนต่อหน้านายทะเบียน หรือจะมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ได้ เท่านี้ก็จะมีรายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์สำหรับจดทะเบียนนิติบุคคลแล้ว จากนั้นให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ e-Registration เพื่อยื่นคำขอจดทะเบียน และชำระค่าธรรมเนียม หากผู้ประกอบการชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนบริษัทครบถ้วนแล้ว นายทะเบียนจะทำการรับเรื่องจดทะเบียน และแจ้งผลการจดทะเบียนผ่านอีเมล์  เมื่อท่านได้รับอีเมล์ ถือเป็นที่สิ้นสุดการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ จากนั้นรอรับหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท ซึ่งจะถูกจัดส่งให้กับท่านทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ ซึ่งได้ระบุไว้ในระบบการลงทะเบียน e-Registration นั่นเอง   Published on 30 July 2019 SMEONE "ทุกเรื่องครบ...จบในที่เดียว"  

บทความแนะนำ