“เก้าไร่” นวัตกรรมโดรน แก้ Pain Point ให้เกษตรกร

เป็นที่เข้าใจกันดีว่าอุตสาหกรรมการเกษตรคือรากฐานของสังคมไทยมาเป็นเวลานานมีการส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแต่ในทางกลับกันผู้ที่ทำอาชีพ “เกษตรกร” กลับเป็นคนกลุ่มท้ายๆที่ได้รับการเหลียวแลจากสังคมแอปพลิเคชัน “เก้าไร่” จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ Pain Point ให้กับคนกลุ่มนี้ด้วยการใช้เทคโนโลยีโดรนเพื่อช่วยยกระดับการใช้ชีวิตพร้อมทั้งเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืน

ธิติพงศ์ ศิริวัฒน์ ซีเอ็มโอ บริษัท เก้าไร่ บิซิเนสโซลูชั่นส์ จำกัด เล่าถึงที่มาของการรวมตัวเพื่อก่อตั้งบริษัทที่เกิดจากกรอบความคิดเดียวกันคือต้องการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการแก้ไข Pain Point หลักของเกษตรกรไทยซึ่งมี3ข้อด้วยกัน คือ

  1. ไม่สามารถบริหารจัดการและตรวจสอบผลผลิตของตนเองย้อนหลังได้
  2. ใช้วิธีการจัดสรรดูแลการทำไร่แบบเก่าที่ส่งต่อกันร่นสู่รุ่นรวมถึงการเดินฉีดพ่นปุ๋ยซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตรกรในระยะยาว
  3. กลัวคำว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีเพราะรู้สึกเข้าใจยากและมีราคาสูงทำให้จับได้ต้องยาก

“หลักการทำงานของแอปพลิเคชั่นเก้าไร่ คือทำหน้าที่เป็นSmart Matching ระหว่างเกษตรกรและนักบินโดรนเพื่อให้บริการโดรนสำหรับฉีดพ่นปุ๋ยให้กับพืชพรรณทางการเกษตรรวมไปถึงการเก็บประวัติข้อมูลการฉีดพ่นที่เรียกว่า Farm Profile ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้มีผลผลิตทางการเกษตรสูงขึ้นเพราะว่ามีการใช้สารฉีดพ่นในพื้นที่ที่แม่นยำมากขึ้นนำไปสู่ต้นทุนที่ต่ำลงและมีผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพียงแค่เปลี่ยนจากรูปแบบเดิมที่ใช้คนในการเดินฉีดพ่นมาเป็นการใช้โดรนซึ่งพบว่าปริมาณสารลดลงอย่างเห็นได้ชัดประมาณ3-4เท่าเป็นอย่างน้อยแล้วเกษตรกรก็ยังมีเวลาเหลือไปทำเกษตรส่วนอื่นได้ด้วย”

ธิติพงศ์บอกว่ารูปแบบการให้บริการมีไอเดียจากแอปพลิเคชั่นเรียกรถที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้โดยสารและคนขับซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ปรับจากผู้โดยสารมาเป็นเกษตรกรและคนขับมาเป็นนักบินโดรนแทนพร้อมทั้งออกแบบวิธีการใช้งานแอปพลิเคชั่นให้ง่ายดายเพียงแค่ 3 ขั้นตอนคือ

  1. เลือกวันเวลาและสถานที่ที่ต้องการฉีดพ่นยาหรือปุ๋ย
  2. ประเภทของพืชและสารฉีดพ่นที่ต้องการฉีด
  3. ระบุขนาดของไร่และกดจองได้เลย

จากนั้นก็รอนักบินกดรับงานเมื่อกดรับงานแล้วก็จะมาดำเนินการตามวันเวลาที่ได้ตกลงกันไว้โดยปัจจุบันเก้าไร่มีเกษตรกรที่อยู่ในระบบ 120 คนและมีงานที่เกิดขึ้นมากกว่า 400 งานมีนักบินในระบบประมาณ 30 คนและจากพันธมิตรอีก 7 บริษัทประมาณ 550 คน ซึ่งเมื่อเกษตรกรทำการจองนักบินโดรนจะมีการเก็บข้อมูล Data base ทุกครั้งว่าใช้บริการฉีดพ่นไปแล้วกี่ครั้งใช้สารอะไรจำนวนกี่ไร่โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆกับเกษตรกรเลย

ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับนักบินโดรนทั่วประเทศได้รับงานฟรีแลนซ์ซึ่งเก้าไร่เปิดโอกาสให้เจ้าของโดรนที่จดทะเบียนถูกต้องสามารถรับงานผ่านแอปพลิเคชันได้ในแพ็กเกจที่หลากหลายเริ่มตั้งแต่จำนวนไม่กี่ไร่ไปจนถึงหลายร้อยไร่โดยมีราคาต่อไร่เริ่มต้นเพียง 70 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำยาประเภทและที่ตั้งของฟาร์ม

“ตอนนี้เกษตรกรยุคใหม่หรือ Smart Farmer ให้ความสนใจและให้ความสำคัญในเรื่องข้อมูลค่อนข้างมากเพราะฉะนั้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราที่เป็นเกษตรกรก็จะเป็น Young Smart Farmer ไม่ได้จำกัดว่าอายุเท่าไหร่แต่เป็นคนที่พร้อมเปิดใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ไปพร้อมๆกัน” ธิติพงศ์กล่าว

แอปพลิเคชั่นเก้าไร่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี2562ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรผ่านการออกบู๊ทจัดกิจกรรมนอกสถานที่รวมถึงสร้างประสบการณ์แก่เกษตรกรด้วยการทดสอบการบินโดรนพ่นยาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดการเปิดใจรับเทคโนโลยีเพื่อมายกระดับคุณภาพชีวิตและผลผลิตให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา

จนกระทั่งเกิดสถานการณ์ COVID-19 ในปี 2563 ทำให้เก้าไร่ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่จากการจัดบูธเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าเกษตรกรมาใช้ Social Marketing ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กแทนด้วยการสื่อสารและให้ความรู้เพื่อกำจัดความคิดที่ว่านวัตกรรมกับเทคโนโลยีเป็นของแพงและเข้าถึงได้ยากมาเป็นสิ่งที่ราคาจับต้องได้และเข้าถึงได้ง่ายพร้อมทั้งเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าการใช้โดรนบินพ่นยาใช้เวลาน้อยกว่าการใช้คนเดินฉีดพ่นรวมทั้งให้ผลผลิตที่มากกว่า

“นอกจากการทำSocial Marketing แล้วเรายังได้เข้าร่วมกับโครงการต่างๆเช่น ‘โครงการนวัตกรรมแห่งชาติ’ที่จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมของผู้ประกอบการรวมทั้งสนับสนุนเงินทุนในการต่อยอดธุรกิจและช่วยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆของNIA โดยเก้าไร่ได้เป็น1ใน15สตาร์ทอัพด้านการเกษตรอันดับต้นๆของประเทศไทยที่มีเทคโนโลยีพร้อมใช้งานจึงทำให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเกษตรกรมากขึ้น”

ธิติพงศ์ เผยว่าเป้าหมายในอนาคตของเก้าไร่ไม่ได้หยุดแค่เพียงการเป็นแอปพลิเคชั่นบินโดรนเพื่อการเกษตรเท่านั้นแต่จะเป็นแพลทฟอร์มที่เกษตรกรทุกคนใช้เพื่อบริหารจัดการฟาร์ม หรือ Corp Management ซึ่งเป็นการบริหารจัดการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำตั้งแต่วางแผนการเพาะปลูกที่แม่นยำรวมถึ ง Drone Management ทั้งโดรนการเกษตรและโดรนสำรวจแล้วก็เป็น Market Place สำหรับสินค้าเกษตรให้บริการด้านไฟแนนซ์และการใช้ประโยชน์จาก Big Data เพื่อเป็น One Stop Service ให้กับเกษตรกรทั้งรายใหญ่และรายย่อย

สำหรับเกษตรกที่สนใจจ้างนักบินโดรน ไปที่ https://gaorai.io/main/farmer มี 3 ขั้นตอนคือ

  • ประกาศว่าจ้างงานฉีดพ่นใหม่ฟรี
  • ชำระเงินโดยตรงถึงนักขับโดรน
  • เกษตกรจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องพืชผลของท่านเอง

ส่วนนักบินโดรนที่ต้องการหางาน ไปสร้างประวัติได้ที่ https://gaorai.io/main/pilot

  • ราคามีการเจรจากับเกษตรกรแล้ว
  • โอกาสงานรายได้ดีสำหรับการทำงานในยุค 4.0 สำหรับนักขับโดรนอิสระ
  • นักขับโดรนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจะได้รับคำเชิญเข้างานฝึกอบรม

ทั้งนี้ค่าบริการระหว่างเกษตรกรและนักบินโดรนจะเริ่มต้นที่ราคาไร่ละ 70 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำยาประเภทและที่ตั้งของฟาร์ม

 

บทความแนะนำ

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 – ร่วมมือกันผลักดันธุรกิจให้เติบโต

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 – ร่วมมือกันผลักดันธุรกิจให้เติบโต

การแข่งขันในโลกธุรกิจนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในภาพรวมของเศรษฐกิจระดับประเทศหรือจะเป็นเศรษฐกิจระดับโลกก็ตาม ถ้าหากผู้ประกอบการนั้นไม่รู้จักที่จะเพิ่มเติมข้อมูลความรู้ความเข้าใจในช่องทางการตลาดใหม่ ๆ หรือไม่สามารถปรับตัวให้เกิดการพัฒนากระบวนการผลิตรวมถึงการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ทันโลกทันสมัย ย่อมไม่สามารถสร้างความเข้มแข็ง และไม่สามารถเพิ่มขีดความสามารถที่จะแข่งขันให้อยู่รอดในตลาดโลกนี้ได้

.

เสริมขีดความสามารถผู้ประกอบการให้เข้มแข็ง

ในยุคปัจจุบันแค่มีแนวคิดไอเดียสำหรับสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ให้เกิดขึ้นอาจยังไม่เพียงพอ ต้องรู้จักการเพิ่มเติมความรู้ทั้งในด้านของการหาช่องทางการตลาดที่นำเอาเทคโนโลยีมาช่วยเชื่อมต่อกิจการให้ไปถึงมือผู้บริโภคได้ รวมถึงการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีประยุกต์ใช้สร้างกระบวนการผลิตให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยขยายขีดความสามารถให้กับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ทั้งในด้านการแปรรูปให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่พร้อมดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคทั้งในระดับประเทศและในระดับตลาดการค้าสากล

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 จึงได้มีการเข้ามาช่วยกำหนดภารกิจที่จะเสริมสร้าง ประคับประคอง และผลักดันผู้ประกอบการ SME ภายในพื้นที่ 4 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ยโสธร ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และ อำนาจเจริญ ผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการได้เพิ่มศักยภาพการผลิตจนสามารถสร้างธุรกิจที่จะมีความเข้มแข็งขึ้นได้ 

ทางศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 นั้น มีความพร้อมที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ประกอบการที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มสร้างผลิตภัณฑ์จากอะไร ไปจนถึงผู้ประกอบการที่เริ่มดำเนินกิจการไปแล้วแต่มองหาช่องทางโอกาสที่จะอยู่รอดหรือไปต่ออย่างไรได้ ให้ผ่านสภาวะปัญหาวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามามีผลกระทบต่อธุรกิจ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง 

จึงมีบริการที่ตอบโจทย์กับผู้ประกอบการ ดังนี้

บริการให้คำปรึกษา จุดเริ่มต้นหลักที่ทางศูนย์ต้องการมุ่งเน้นเสริมสร้างให้กับผู้ประกอบการทุกภาคส่วนก็คือ เรื่องการสร้างมาตรฐานในการทำธุรกิจ สิ่งนี้จะทำให้ผู้ประกอบการมีความเข้มแข็งในการเปิดโอกาสเข้าสู่ช่องทางการตลาดที่มากขึ้น การจะสร้างธุรกิจให้มีมาตรฐานได้ ต้องอาศัยประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ให้มีคุณภาพ รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนให้ลดน้อยลง ทำการตลาดให้มียอดขายที่เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างเป็นผลกำไรที่สูงขึ้น

การสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ เพราะการรวมกลุ่มช่วยเหลือกัน จะช่วยให้ทุกธุรกิจเกิดความเข้มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในส่วนของศูนย์อุตสาหกรรม และในส่วนของผู้ประกอบการ ซึ่งได้มีการรวมกลุ่มอยู่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายธรรมดา หรือว่าจะเป็นการรวมกลุ่มทางด้านอุตสาหกรรมที่มีทั้งผู้ผลิตต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เข้ามารวมกัน ทั้งนี้ได้มีการจัดโปรแกรมที่ช่วยดูแลสนับสนุน มีเครือข่ายเป็นทีมที่ปรึกษา ที่พร้อมไปให้บริการในสถานประกอบการทั้งในเรื่องการดำเนินกิจการ หรือจะเป็นเรื่องปัญหาอุปสรรค ตามโจทย์ความต้องการที่เกิดขึ้น

การพัฒนาผู้ประกอบการ ด้วยการร่วมมือกับหน่วยงานร่วมต่าง ๆ ในการเอาผลงานวิจัย หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการพัฒนาผู้ประกอบการในหลาย ๆ ด้าน ทั้งทางด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการ การพัฒนาทางด้านคุณภาพวัตถุดิบ ไปจนถึงปัจจัยการผลิตต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญในการใช้นวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ในกระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจ ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในโลกธุรกิจสมัยใหม่มากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำสินค้าออกสู่ตลาดที่กว้างใหญ่ได้มากขึ้นและไปได้ไกลขึ้น 

.

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 มีความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการตั้งแต่เริ่มคิด ให้มาคิดร่วมกัน ทำร่วมกัน พัฒนาร่วมกัน จนสุดท้ายไปถึงผลสำเร็จด้วยกัน โดยมีความมุ่งหวังที่จะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการ ปรับให้ได้ เปลี่ยนให้ไว แล้วก็ไปให้เร็ว มองเห็นอนาคตว่าทิศทางเศรษฐกิจ ทิศทางทางการทำธุรกิจ จะปรับ จะเปลี่ยน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ และนำพาธุรกิจให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง อยู่รอดในทุกสถานการณ์

.

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7
เลขที่ 222 หมู่ 24 ถนนคลังอาวุธ ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000
โทร. 045314216
E-mail: ipc7@dip.go.th
Website : https://ipc7.dip.go.th
Facebook: dip.ipc7
Youtube: DIProm Station

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ

ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) “Upcycling” โอกาสของผู้ประกอบการที่ต้องการเปลี่ยนขยะเป็นทอง

หากพูดถึง “Upcycling” ในเมืองไทยคงพูดได้ว่าเป็นเรื่องที่ต่อยอดมาจากการ “Recycle” ซึ่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีความพยายามในการสร้างการตระหนักรู้เรื่องของการนำขยะมาเปลี่ยนให้เป็นทอง หรือให้คนมองเห็นคุณค่าของทรัพยากรที่ใช้แล้วเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยจากการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยจนทรัพยากรเริ่มหมดไป ปัญหาขยะล้นโลก นำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สร้างผลกระทบต่อโลกและมนุษย์ 

รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC by MQDC) ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่ผลักดันเรื่องของ Upcycling ในเมืองไทยให้เดินทางมาไกลจากจุดเริ่มต้น พูดถึงภาพรวมของ Upcycling ไว้น่าสนใจว่า

“ภาพรวมของธุรกิจ Upcycling ในตอนนี้ได้รับการตอบรับที่ดีมากปัจจัยหนึ่งมาจากการที่ภาครัฐเริ่มให้การสนับสนุนจนกลายเป็นแนวทางเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งหมายถึง Bio-Circular-Green ที่รัฐบาลกำหนดเป็นโมเดลเศรษฐกิจในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นวาระแห่งชาติ ทำให้มีคนเข้ามาในบริบทนี้ มีเด็กรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการใหม่ๆเข้ามามากขึ้น องค์กรใหญ่เริ่มหันมาสนใจและดำเนินการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง สร้างให้เกิด Upcycling Initiative เพิ่ม ซึ่งผมมองว่าการที่ธุรกิจนี้จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆนโยบายของภาครัฐรวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นสิ่งที่สำคัญมาก”

ศูนย์ RISC ถือเป็นหนึ่งหน่วยงานวิจัยของบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC ที่ช่วยผลักดันแนวคิดให้เกิดการผสานการใช้วัสดุ Upcycle โดยมีการจับมือกับพันธมิตร Upcycling ในการนำวัสดุที่ใช้แล้วไปพัฒนาเป็นองค์ประกอบอาคารส่วนต่างๆ ให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งภายในอาคารจนถึงภายนอกอาคาร ตั้งแต่ผนัง หลังคา วัสดุปิดผิว เฟอร์นิเจอร์ ถนน ทางเดินเท้า และส่วนตกแต่งพื้นที่สีเขียวของโครงการ เพื่อบรรลุเป้าหมาย “เศรษฐกิจแบบหมุนเวียน” หรือ Circular Economy การนำผลิตภัณฑ์และวัสดุที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำเพื่อทำให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง ตามพันธกิจของ MQDC ที่ว่า ‘for all well-being’ ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของทุกสรรพสิ่งบนโลก

“ที่ RISC เราเป็นศูนย์วิจัยที่เกี่ยวกับวัสดุ โดยเราจะเน้นวัสดุ Upcycling เป็นหลัก เรามี ห้องสมุด Well-being Material ที่เรารวบรวมวัสดุที่เกี่ยวกับสุขภาวะ เกี่ยวกับ Green มารวมเอาไว้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายและเราจะมีการเชิญ Architect,Engineer,Developer ต่างๆเข้ามาเรื่อยๆเพื่อให้พวกเขาเหล่านี้สามารถมาสั่งซื้อวัสดุเหล่านี้ตรงกับผู้ผลิต หากเรามองเห็นว่าวัสดุตัวไหนน่าสนใจมากๆ เราก็จะมีการคุยตรงเพื่อนำไปใช้กับโครงการต่างๆของ MQDC เช่น Whizdom หรือ โครงการ The Forestias เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการมีรายได้และต่อยอดการเติบโตของธุรกิจต่อไป นอกจากนี้ผู้ผลิตยังสามารถเข้ามาใช้ห้องแลปหรือมาปรึกษากับเราได้ เราจะช่วยคอมเมนต์ หาฟันดิ้ง รวมถึงลูกค้าให้กับเขา” 

ในฐานะหัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาศูนย์ RISC รศ.ดร. สิงห์ มองว่าการที่ผู้ประกอบการซึ่งสนใจเรื่องของ Upcycling จะเข้ามาในธุรกิจนี้มีเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจอยู่ 2-3 เรื่อง

  1. ต้อง  Identify ก่อนว่าขยะที่จะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตคืออะไร รวมถึงต้องวางแผนก่อนว่าต้องการจะ Upcycling เป็นอะไร และไปสู่อุตสาหกรรมไหน เพื่อดูว่าหลังจากทำแล้ววัสดุเหล่านั้นมีเพียงพอที่จะต่อยอดธุรกิจได้หรือไม่

“ถ้าเรารู้ตรงนี้เราจะประเมินได้ว่าวัสดุที่เราจะใช้เพียงพอสำหรับทำธุรกิจหรือเปล่า อย่างตอนที่ผมทำโอซิซุเราเน้นไปที่ขยะซึ่งมาจากการก่อสร้างนั่นหมายความว่าผมรู้ว่า Supply Chain ของผมมีค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นการ Identify ได้ว่าแหล่งวัตถุดิบที่จะนำมา Upcycling มีมากแค่ไหน ตรงนี้สำคัญมากไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำธุรกิจไปแล้วผ่านไปไม่นานวัตถุดิบหมดมันก็ไปต่อไม่ได้” 

  1. ต้องสามารถจัดหมวดหมู่วัตถุดิบที่มีได้หรือไม่ “บางคนไม่มีการจัดหมวดหมู่วัตถุดิบที่มีเพราะคิดว่ามีของเยอะอยู่ตลอดเวลาถึงจุดสุดท้ายวัตถุดิบไม่พอ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำส่วนอื่นก็เหมือนกับการทำธุรกิจทั่วไป ยุคนี้คนยอมรับสินค้าที่มาจากขยะมากขึ้น คนใส่ใจ รัฐบาลก็ให้การสนับสนุน เราก้าวมาถึงจุดนี้แล้วการทำธุรกิจ Upcycling จึงค่อนข้างเป็นไปได้ดีมากขึ้น”

นอกจากนี้ รศ.ดร. สิงห์ ยังเสริมว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการ Upcycling ควรทำนอกจากการรู้ว่าวัตถุดิบของตนมีมากน้อยแค่ไหน คัดแยกได้หรือไม่แล้ว ทีมงานต้องรู้จุดแข็งของตัวเองว่าเราถนัดทางด้านไหน 

“ถ้าเราเก่งเรื่องดีไซน์เราก็ออกแบบสินค้าของเราเอง แต่ถ้าเราไม่เก่งอาจจะใช้เรื่องของ IT เข้ามาช่วยเป็นตัวกลางแบบที่ผู้ประกอบการอย่าง More loop ซึ่งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเป็นตัวกลางในการเทรดผ้าเหลือใช้จากอุตสาหกรรมทำ คือส่งไปขายมา นอกจากนั้นควรหาตลาดที่แน่นอนที่เราสามารถผูกปิ่นโตกันในระยะยาวได้ ธุรกิจ Upcycle ในเมืองไทยทิศทางจะเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากประเทศเราเล็กเกินไปสำหรับธุรกิจนี้ ผู้ประกอบการจึงต้องมองเป้าหมายในระดับโกลบอล พยายามหาเซกเตอร์ที่ใหญ่ เช่น อาหาร ธุรกิจก่อสร้าง แต่ต้องอย่าลืมมองเรื่องของกำลังการผลิตของเราเพราะถ้าออกสู่ตลาดโกลบอลกำลังซื้อจะมากกว่าเดิม กำลังการผลิตของเราต้องพร้อม” 

แม้การเดินทางของธุรกิจ Upcycling ในไทยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เราก็พอมองเห็นว่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่หลายรายเริ่มให้ความสนใจและเห็นโอกาสในธุรกิจนี้มากขึ้น ประกอบการภาครัฐเองเริ่มให้ความสำคัญและสนับสนุนตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG ดังนั้นหากรัฐสามารถสร้าง Ecosystem ให้เกิดขึ้นได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน 

ธุรกิจ Upcycling จึงเป็นเทรนด์ทางธุรกิจที่ SMEs ควรให้ความสนใจ ทั้งผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ BCG โดยตรงและทางอ้อม รวมถึงผู้ประกอบการทั่วไป เพราะในอนาคตเทรนด์ดังกล่าวจะเพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย

บทความแนะนำ

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 – แปรรูปผลผลิตให้เป็นคุณค่า

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 – แปรรูปผลผลิตให้เป็นคุณค่า

ประเทศไทยเรามีกำลังและศักยภาพที่สามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างล้นหลาม แต่เหล่าผู้ประกอบการทางการเกษตรทั้งหลาย กลับยังไม่รู้จักวิธีที่จะสามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรที่มีอยู่มากมายเหล่านี้ ให้เกิดเป็นมูลค่าเพิ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

ไปให้ไกลกว่าผลผลิตทางการเกษตร

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 จึงมีความต้องการที่จะให้ผู้ประกอบการทางการเกษตรได้รับคำปรึกษาแนะนำให้เห็นทิศทางหรือความเป็นไปได้ของเหล่าผลผลิต ให้ทราบว่านอกจากการนำไปจำหน่ายโดยตรงแล้ว จะสามารถเปลี่ยนผลผลิตเหล่านี้ให้เป็นอะไรได้บ้างในรูปแบบของการคิดผลิตภัณฑ์ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน

จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญที่ทางศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 ต้องการที่จะเข้ามาส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาทางด้านผลิตภัณฑ์ ให้กับทั้งผู้ประกอบการ SME ภาคอุตสาหกรรมการเกษตร ภายในพื้นที่ 4 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ยโสธร ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และ อำนาจเจริญ เพราะเป็นจังหวัดที่สามารถสร้างผลผลิตได้อย่างมากมายทุกปี และควรที่จะสนับสนุนให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่หลากหลาย

.

สับปะรด ไม่เป็นสับปะรด

โดยแนวคิดหลักที่นำมาใช้บอกกับผู้ประกอบการก็คือ “ปลูกสับปะรด ไม่ให้ขายเป็นสับปะรด” ซึ่งเป็นการอธิบายโดยให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า เมื่อมีผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ควรนำผลผลิตเหล่านั้นไปผ่านกระบวนการแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต ซึ่งทางศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 ได้วางแนวทางที่จะพัฒนาไปใน 3 ด้านหรือ 3P ก็คือ

ด้านที่ 1 การแปรรูปผลิตภัณฑ์ หรือ Product transformation เป็นการพัฒนาผลผลิตขึ้นใหม่ ให้อยู่ในรูปแบบของการคิด สร้างให้เป็นผลิตภัณฑ์ด้วยกรรมวิธีการแปรรูปการพัฒนาตั้งแต่ตัววัตถุดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์ได้อย่างไรบ้าง เช่น ออกเป็นแคปซูล ออกเป็นเครื่องดื่ม ออกเป็นตากแห้ง เป็นต้น รวมไปถึงการคิดตลอดวงจรอายุของผลิตภัณฑ์ทั้งในเรื่องอายุของสินค้า ซึ่งขึ้นอยู่กับมาตรฐาน และกระบวนการในการผลิตด้วย สิ่งเหล่านี้จะช่วยตอบแนวคิดเรื่อง “สับปะรด ไม่เป็นสับปะรด” ให้ผู้ประกอบการเห็นภาพได้อย่างชัดเจน 

ด้านที่ 2 การพัฒนาระบบการผลิต หรือ  Process transformation ให้บริการเข้ามาปรึกษาแนะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการผลิต พร้อมทั้งสามารถทดลองส่วนผสมในห้องปฏิบัติการ, ทดสอบการผลิตชิ้นงานต้นแบบเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือทำการผลิตเล็กๆ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเข้ามาใช้เครื่องมือเครื่องจักรทำได้ โดยมี ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 หรือ Industry Transformation Center (ITC) ที่พร้อมรองรับความต้องการของผู้ประกอบการ รวมไปถึงการเข้าไปตรวจสอบเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้มานานแล้ว ว่าควรจะปรับปรุงอย่างไรให้เพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการนำวิธีการดิจิทัลเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องการบริหารจัดการภายในโรงงานให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นได้

ด้านที่ 3 บทบาทในการพัฒนาให้ความรู้พนักงาน หรือ People ให้มีการปรับปรุงการเรียนรู้ ปรับปรุงในเรื่องของการเพิ่มทักษะต่าง ๆ ให้รู้ทันช่องทางการตลาดหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้บุคลากรทุกภาคส่วน ก้าวทันยุคทันสมัยอย่างสม่ำเสมอ

.

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 7 มีความพร้อมทั้งในด้านทีมงานบุคลากร เครื่องมือ แนวคิดการสร้างสรรค์ นวัตกรรม เทคโนโลยี รวมถึงงานออกแบบ ที่จะเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เกิดการพัฒนาในด้านผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ เพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดในยุคปัจจุบัน เสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในธุรกิจได้อย่างมั่นคง

.

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่
ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7
เลขที่ 222 หมู่ 24 ถนนคลังอาวุธ ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000
โทร. 045314216
E-mail: ipc7@dip.go.th
Website : https://ipc7.dip.go.th
Facebook: dip.ipc7
Youtube: DIProm Station

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ

บัชชี่บีส์ จากผู้พัฒนาระบบตรวจสอบลายนิ้วมือ สู่แพลตฟอร์มดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งรองรับผู้ใช้งานว่า90 ล้านคน

จากผู้พัฒนาระบบลายนิ้วมือเชิงชีวสถิติ หรือ Biometric เพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อมูลบุคคลและใช้ในงานรักษาความมั่นคงปลอดภัย สำหรับใช้งานกับหน่วยงานราชการต่างๆ อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายใต้ บริษัท ไอคอนเซ็ป เมื่อ 16 ปีที่ผ่านมา

ณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ได้ปรับธุรกิจจากการผู้พัฒนาระบบลายนิ้วมือ มาสู่บริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มระบบบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ที่เรียกว่า CRM Privilege (Customer Relationship Management Privilege) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อธุรกิจและลูกค้าครบวงจร เมื่อปี 2555 

การเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพ ของ บัซซี่บีส์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อบริษัทมีแผนที่จะก้าวเข้าสู่การพัฒนาระบบ CRM Privilege ทำให้บริษัทหยุดที่จะพัฒนาระบบลายนิ้วมือ และปรับธุรกิจสู่ธุรกิจใหม่ทันที และเมื่อพัฒนาระบบใหม่เสร็จเรียบร้อย ยังไม่มีลูกค้าและเกือบที่จะขาดสภาพคล่องของบริษัท 

ณัฐธิดา กล่าวต่อว่าหลังจากที่ใช้เวลา 2 ปี ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Buzzebees ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่น สะสมแต้มและแลกของ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากผู้ใช้งานน้อย ต่อมาบริษัทได้ต่อยอดการพัฒนาสู่ระบบ CRM Privilege โดยมีบริษัท แอดวานซ์ อินโฟส์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส เป็นบริษัทแรกที่ใช้บริการระบบบริหารความสำคัญกับลูกค้า หรือ CRM Privilege ภายใต้บริการ AIS Privilegeหลังจากนั้นบริษัทได้พัฒนาพอร์ตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการเครื่องมือการตลาดดิจิทัล ที่หลากหลาย 

“เราเชื่อมั่นว่า แพลตฟอร์ม ของ Buzzebeesจะช่วยธุรกิจ และChange the Worldเราต้องเปลี่ยน Marketing work เป็น Digital work และเราเชื่อในสิ่งนี้ ว่ามันจริง” ณัฐธิดา กล่าว

ปัจจุบัน บัซซี่บีส์ ให้บริการแพลตฟอร์ม CRM Privilege ที่ครอบคลุม 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ลูกค้ากลุ่ม คอร์ปอเรท และลูกค้ากลุ่มรีเทล 

โดยในกลุ่ม คอร์ปอเรท นั้น บริษัทให้บริการ Corporate Solution ในรูปแบบ One stop service ด้าน CRM สำหรับองค์กรใหญ่ ประกอบด้วย บริการ Loyalty Program for Customers, Loyalty program for Dealer, Loyalty Program for Employee, Rewards & Privileges Management, Data Management Platform (DMP), e-Commerce service, Digital Marketing Activation และ บริการ Food Delivery เป็นต้น

Loyalty Program for Customer โปรแกรมสร้างแรงจูงใจสำหรับลูกค้า บน แอพพลิเคชั่น และไลน์ พร้อมจัดหาของรางวัลให้ตอบโจทย์ธุรกิจ

Loyalty Program for Dealer เป็นโปรแกรมสร้างแรงจูงใจสำหรับตัวแทนจำหน่าย เพื่อกระตุ้นยอดขายสำหรับธุรกิจ 

Loyalty Program for Employee เป็นโปรแกรมที่สร้างแรงจูงใจให้พนักงานมีส่วนร่วมและมีความสัมพันธ์กับบริษัทมากยิ่งขึ้น มีการนำระบบการให้รางวัลและการแลกแต้ม มาช่วยในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานของบริษัทด้วย 

Rewards & Privileges Management บริการจัดหาส่วนลด ของรางวัลและสิทธิพิเศษต่างๆ พร้อมวางแผนแคมเปญครบวงจร

Data Management Platform (DMP) บริการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และเปลี่ยนให้เข้าใจได้ง่าย สามารถนำไปต่อยอดในการดำเนินธุรกิจ 

e-Commerce service บริการรับดูแล อีคอมเมิร์ซครบวงจร ช่วยสร้างยอดขายให้ธุรกิจบนออนไลน์

Digital Marketing Activation บริการจัดแคมเปญการตลาดเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าเพื่อดันยอดขายผ่านการวิเคราะห์ Big data ช่วยวางกลยุทธ์การตลาดให้ธุรกิจ

และ บริการ Food Deliveryระบบสั่งและจัดส่งอาหารที่เชื่อมต่อกับไรเดอร์

ในส่วนของบริการกลุ่มลูค้รีเทลนั้น บริษัทให้บริการ Retail Solution เป็นบริการเพื่อรองรับธุรกิจ SMEs ประกอบด้วย CRM Plus, B-POS, B-Voucher, B-Giftcard, Food Delivery, และ e-Payment

สำหรับบริการ CRM Plusเป็นบริการ Loyalty Program บน Line OA สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี สามารถรองรับทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ 

ขณะที่บริการ B-POS เป็นระบบจัดการหน้าร้านอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มช่องทางการขาย ละขยายโอกาสทางธุรกิจ 

บริการ B-Voucherเป็นระบบสร้างบัตรกำนัลดิจิทัล ให้ธุรกิจสามารถมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า

B-Giftcard เป็นระบบสร้างบัตรของขวัญดิจิทัลให้ลูกค้าซื้อเพื่อใช้งานเองหรือซื้อเป็นของขวัญ 

และ e-Payment เป็นระบบรับชำระเงินที่เชื่มต่อกับผู้ให้บริการ e-wallet ทุกเจ้าในประเทศไทยอาทิ Alipay, True Money และ Dolfin เป็นต้น 

“บัซซี่บีส์ มีการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการใหม่ๆ กับลูกค้า ปีละ 2-3 บริการตอนนี้มีคนอยู่บนแพลตฟอร์ม 90 ล้านคนจากวันแรกที่มีผู้ใช้ดาวห์โหลด แอพพลิเคชั่น Buzzebeesจำนวน 20 ดาวห์โหลด มีผู้ใช้งาน (Transaction)ในแพลตฟอร์ม วันละ2 ล้านครั้ง (Transactions) มีร้านค้าที่อยู่ในระบบหลายหมื่นร้านค้า (Merchants) รองรับสินค้ามากกว่า 200,000 รายการ“ธุรกิจของบัซซี่บีส์เหมือนต่อ จิ๊กซอ พยายามต่อให้ครบภาพพบภาพเมื่อไหร่ มันถึงจะออก ทุกอย่างมันเชื่อมกันเราเป็น Marketing enable platform เป็นเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมธุรกิจเพื่อให้ทำการตลาด(Marketing)ได้ทุกอย่างบนโลกออนไลน์ สิ่งที่บัซซี่บีส์ ทำ เราเป็นคนกลางในการเชื่อมต่อร้านค้ารับแลกของมากกว่า 20,000 ร้านค้า เป็นศูนย์รวมจุดเชื่อมต่อออนไลน์และออฟไลน์ ด้านการทำมาร์เก็ตติ้ง มีลูกค้าคอร์ปอเรทมากกว่า 150 ราย เราอยากเป็น enable อย่างแท้จริง” ณัฐธิดา กล่าว และอธิบายเพิ่มเติมว่า 

บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาเฟรมเวิร์คทางด้าน Privilege marketing เพื่อให้นักพัฒนา รวมถึง คู่ค้า สามารถนำเฟรมเวิร์ค ไปพัฒนาต่อยอดในการทำธุรกิจใหม่ด้วย นอกจากนี้ยังจากสถานการณ์โควิด-19 บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจอย่างเป็นทางการที่ประเทศ ฟิลิปินส์ เวียดนาม มาเลเซียและสิงคโปร์ สำหรับรายได้ของบริษัทในครึ่งปีที่ผ่านมามีการเติบโตประมาณ 30 เปอร์เซ็น และภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะการเติโตโดยรวม 30-50 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้ประมาณ 1,600 ล้านบาท

สำหรับ SMEs ที่มีการให้ลูกค้าทำธุรกรรมผ่านสมาร์ทโฟนบ่อยๆ การเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อเอามาทำ CRM ในปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกับสมัยก่อนแล้ว เพราะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ ออกมาให้เลือกใช้บริการเป็นจำนวนมาก และการคิดค่าบริการก็มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งชำระเป็นรายเดือนหรือตามปริมาณฟังก์ชั่นการใช้งาน ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งบัซซี่บีส์ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกนั้น

บทความแนะนำ