 
    การแก้ไขปัญหาธุรกิจผีดิบ (Zombie SME) ในประเทศไทยเป็นภารกิจเร่งด่วนในการฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก 
รายงานนี้วิเคราะห์สาเหตุรากเหง้าและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุม เพื่อให้SMEสามารถฟื้นตัวจากสถานะ Zombie 
กลับมาสร้างกำไรและเติบโตได้อย่างยั่งยืน การศึกษาเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการ
การประชุมระดมความคิดเห็นหน่วยงานรัฐ การวิเคราะห์ข้อมูล DBD งบการเงิน และแบบสอบถามผู้ประกอบการ Zombie firm 
กว่า 519 ราย รวมถึงการศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจ
ผลการศึกษาพบว่าปัญหาธุรกิจ Zombie ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจไทย
ธุรกิจซอมบี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกขนาดตลอดทศวรรษที่ผ่านมา โดยธุรกิจขนาดย่อมและรายย่อยเพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุด
ภาคกลางครองสัดส่วนเกือบสามในสี่ของธุรกิจซอมบี้ทั้งประเทศ แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนภายในแต่ละภูมิภาคพบว่าทุกพื้นที่มี
ปัญหาใกล้เคียงกัน
ปัญหาหลักแบ่งออกเป็นสามมิติสำคัญ: ปัญหาด้าน Mindset และพฤติกรรม - ผู้ประกอบการติดอยู่ในกรอบความคิด "Stay 
Small" และมีความกลัวความเสี่ยงที่เกินจริง ปรับตัวช้าต่อการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากวัฒนธรรม "Quick Win" และการตัดสินใจ
แบบ “หาเช้ากินค่ำ" ปัญหาด้านการเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน – SME ติดอยู่ในวงจรหนี้และมี "แผลเป็น" ในประวัติสินเชื่อ
ทำบัญชี 2 ชุดและกลัวปัญหาภาษีจึงไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อีกทั้งยังติดอยู่ในสถานะ "จ่ายได้แต่ดอกเบี้ย ลดต้น
ไม่ได้" ปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขัน - ธุรกิจส่วนใหญ่เป็น OEM ไม่มีแบรนด์ตัวเอง แข่งขันกับ Import Flooding 
ไม่ได้ ขายผ่านคนกลางแทนการดีลตรง และขาดการพัฒนา Service Model ที่ผสม High Tech กับ High Touch
ในเชิงพื้นที่ พบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกมีปัญหาความไม่มั่นคงของรายได้สูงที่สุด ขณะที่กรุงเทพฯและ
ปริมณฑลมีความมั่นคงสูงสุด สะท้อนอิทธิพลของปัจจัยเศรษฐกิจท้องถิ่นและการเข้าถึงตลาด ภาคบริการมีจำนวนธุรกิจผีดิบ
มากที่สุด โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์การก่อสร้าง และที่พักแรม
 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                กฎหมายนี้กำหนดขอบเขตของการบังคับใช้สินค้า
7 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัว โกโก้ กาแฟ
ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้
(รายละเอียดเป็นไปตาม ภาคผนวกที่ I ของกฎหมาย EUDR)
สาระสำคัญของกฎหมายนี้อยู่ที่มาตรา 3 ซึ่งกำหนด
เงื่อนไขหลัก 3 ประการก่อนที่สินค้าจะสามารถนำเข้า
วางจำหน่าย หรือส่งออกจาก EU ได้ ได้แก่
(1) สินค้าต้องปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า
(deforestation-free) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ต้องไม่มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าที่ถูกเปิด
ใหม่หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020
(2) สินค้าต้องผลิตโดยเป็นไปตามกฎหมาย
ของประเทศผู้ผลิตในประเด็นที่ครอบคลุม
อย่างน้อย 8 ด้าน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับ
สิทธิในที่ดิน แรงงาน สิ่งแวดล้อม ภาษี
และสิทธิมนุษยชน
(3) สินค้าต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบ
สถานะอย่างรอบคอบ หรือที่เรียกว่า
“due diligence” เพื่อพิสูจน์ว่าปฏิบัติ
ตามข้อกำหนดทั้งสองประการแรก
อย่างครบถ้วน
https://smeone.info/storage/app/public/uploads/files/2025/10/3.infoEUDR.pdf
https://smeone.info/storage/app/public/uploads/files/2025/10/เอกสารแนบ+1++สรุปสาระสำคัญ.pdf
 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                โลกกำลังเดินหน้าเต็มตัวสู่ Net Zero การใช้พลังงานหมุนเวียนกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด 
ช่วยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในระบบไฟฟ้าโลก ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับโจทย์ที่ท้าทายเรื่อง “ความไม่ต่อเนื่อง” และ “การควบคุมที่จำกัด
พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน เกิดได้เมื่อมีแดดหรือลม แต่ความต้องการไฟฟ้าของผู้คนและภาคธุรกิจกลับเกิดขึ้นในทุกช่วงเวลา
นี่คือ “ช่องว่าง” ที่ทำให้ระบบไฟฟ้าไม่อาจพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนได้อย่างเต็มศักยภาพ
🌟 ESS (Energy Storage System) จึงเข้ามาเป็น ตัวกลางที่สำคัญ ทำหน้าที่ “เก็บพลังงานในเวลาที่ผลิตได้” แล้ว “จ่ายออกในเวลาที่ต้องการ”
⚡️ ESS คืออะไร และทำไมจึงถูกยกระดับเป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ? 
Energy Storage System (ESS) ไม่ใช่แค่แบตเตอรี่เสริม แต่คือโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานยุคใหม่
ทำหน้าที่ “เก็บ” พลังงานในช่วงที่ผลิตได้ แล้ว “จ่าย” ออกในช่วงที่ต้องการใช้ ไม่ว่าจะเป็นการสำรองไฟสำหรับบ้าน โรงงาน ศูนย์ข้อมูล หรือเสริมเสถียรภาพระบบโครงข่ายไฟฟ้าทั้งประเทศ
🔋 ระบบ ESS ที่กำลังถูกใช้มากที่สุดในปัจจุบัน คือ Battery Energy Storage System (BESS) หรือ “ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่” พูดง่าย ๆ BESS เปรียบเหมือน Power Bank แต่สามารถ เก็บ จ่าย และปรับสมดุลไฟฟ้าได้แบบ Real-time
เทคโนโลยีที่ใช้ใน BESS ส่วนใหญ่คือ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่มีจุดเด่นเรื่อง น้ำหนักเบา ชาร์จเร็ว พลังงานคงที่ และอายุการใช้งานยาวนานกว่า 15 ปี ทำให้ BESS ไม่เพียงตอบโจทย์ความมั่นคงของระบบพลังงาน แต่ยังสอดคล้องกับเทรนด์พลังงานสะอาดและการลดคาร์บอนทั่วโลก
ถูกใช้งานในหลากหลายระดับ:
🔹 ระดับครัวเรือน → แบตเตอรี่ในบ้านสำหรับโซลาร์รูฟ
🔹 ระดับอุตสาหกรรม → ระบบสำรองพลังงานสำหรับ Smart Factory
🔹 ระดับระบบไฟฟ้า (Grid) → เสริมความมั่นคงให้โครงข่ายพลังงานของเมืองหรือประเทศ
🔸 จากระบบจัดเก็บพลังงาน → สู่ Core Infrastructure แห่งโลกใหม่
ESS กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล
เพราะรองรับระบบที่ต้องการไฟฟ้าแบบ “ไม่สะดุด” และ “เสถียรสูง”
ตัวอย่างการใช้งานที่เริ่มเกิดขึ้นจริง:
🔹 Smart Factory → ลดต้นทุนพลังงาน และป้องกันความเสี่ยงจากไฟตก/ไฟดับที่อาจกระทบสายการผลิต
🔹 Data Center และโครงสร้างดิจิทัล → สำรองพลังงานในระดับมิลลิวินาที เพื่อให้ระบบ Cloud, AI และ IoT ดำเนินการต่อเนื่อง
🔹 EV Charging Hub → รองรับการชาร์จพร้อมกันจำนวนมาก โดยไม่กระทบเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า
🔹 Virtual Power Plant (VPP) → เชื่อมโยง ESS หลายพันหน่วยเข้าด้วยกัน ให้ทำงานเสมือนโรงไฟฟ้ากระจายตัว เพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าแห่งชาติ
🔋 ESS Trends 2025
4 เทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลกของการกักเก็บพลังงาน
Solid-State • Sodium-Ion • AI-Powered ESS • Circular ESS Ecosystem
ระบบ ESS ไม่ได้หยุดแค่เรื่องแบตเตอรี่ แต่กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของระบบไฟฟ้าที่ต้องรองรับความต้องการที่ซับซ้อน ยืดหยุ่น และแม่นยำยิ่งขึ้น
1. Solid-State Battery
ความจุสูง ปลอดภัย และชาร์จเร็วกว่าเดิม
ปี 2025 คือจุดเปลี่ยนของแบตเตอรี่แบบ Solid-State ที่สามารถเพิ่มความจุ (Energy Density) ได้ถึง 350–400 Wh/kg พร้อมรองรับ Fast Charge ภายใน 15–18 นาที
ผู้ผลิตอย่าง Stellantis และ Narada เริ่มใช้ในระบบ ESS ขนาดใหญ่ระดับ 8.3 MWh แล้ว
🔹 เหมาะกับโรงงานหรือโครงข่ายที่ต้องการพลังงานความหนาแน่นสูงและปลอดภัย
2. Sodium-Ion & ทางเลือกใหม่
ต้นทุนต่ำ ตอบโจทย์ระบบพลังงานในตลาดเกิดใหม่
ปีนี้ยังเห็นการเติบโตของแบตเตอรี่ “สูตรทางเลือก” เช่น Sodium-Ion เริ่มถูกนำมาใช้แทนลิเทียมในบางกรณี
แม้มีข้อจำกัดด้าน Energy Density แต่สามารถลดต้นทุนได้อย่างชัดเจน เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล หรือระบบ ESS ที่ต้องการความคุ้มค่าและดูแลง่าย 
🔹 เปิดโอกาสใหม่ให้หลายประเทศที่ไม่มีแหล่งแร่ลิเทียม
3. AI-Powered ESS
จัดการพลังงานแบบเรียลไทม์ด้วย AI & Software
ระบบ Energy Management System (EMS) ที่ฝัง AI ช่วยเรียนรู้รูปแบบการใช้พลังงาน คาดการณ์ช่วง Peak Load และควบคุมการจ่ายไฟจาก ESS แบบอัตโนมัติ
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ Smart Factory, อาคารพาณิชย์ และ EV Hub ได้อย่างมีนัยสำคัญ
🔹 ESS กำลังเปลี่ยนจาก "กล่องแบตเตอรี่" → สู่ "สมองกลพลังงาน"
4. ESS-as-a-Service
โมเดลใหม่ที่เปลี่ยนการลงทุนเป็นบริการ
ปี 2025 คือจุดเร่งตัวของ “ESS-as-a-Service” — ผู้ประกอบการสามารถเช่าใช้ระบบ ESS แบบ Subscription Model แทนการลงทุนก้อนใหญ่ 
โมเดลนี้ช่วยให้ SME และโรงงาน C&I ใช้ระบบ ESS เพื่อ:
• ลดค่าไฟช่วง Peak
• เพิ่มเสถียรภาพให้เครื่องจักร
• เชื่อมต่อกับ Solar Rooftop หรือ EV Charger ได้ง่ายขึ้น
🔹 เปิดทางให้ธุรกิจทุกขนาดเข้าถึง ESS ได้จริง
โอกาสของไทยในห่วงโซ่ ESS ศูนย์กลาง ESS ของภูมิภาค
เมื่อพลังงานสำรอง กลายเป็น “พลังงานเชิงยุทธศาสตร์”
ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) กำลังกลายเป็นหัวใจของระบบพลังงานใหม่ที่ทั้งโลกจับตา
และประเทศไทย…กำลังกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของห่วงโซ่นี้อย่างเต็มตัว
🔋ผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับโลกเริ่มปักหมุดลงทุน Sunwoda หนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่ Top 10 ของโลกจากจีน เลือกลงทุนในไทย 50,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในระดับเซลล์สำหรับ EV และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ที่ชลบุรี โดยคาดว่าจะสามารถเปิดสายการผลิตได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศไทย เพื่อปิดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้ครบวงจร รองรับการจัดการแบตเตอรี่เสื่อมสภาพอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับตลาด EV และพลังงานสะอาดในภูมิภาค
♻️ บีโอไอ ยังมีประเภทกิจการ สำหรับ ศูนย์ซ่อม/รีแพ็ค/รีไซเคิลแบตเตอรี่ EV และ ESS ที่หมดอายุการใช้งานซึ่งเป็นก้าวสำคัญของ Circular Economy ที่เชื่อมโยงกับ “Second-Life ESS” การนำแบตเตอรี่เก่ามาใช้ต่อในระบบพลังงานของอาคาร ชุมชน หรือโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก และสำหรับผู้ประกอบการที่ลงทุนติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า BESS หรือ เครื่องแปลง Inverter ของระบบ BESS ในโครงการสามารถยื่นขอรับบีโอไอภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้านการใช้พลังงานทดแทนได้อีกด้วย
และนี่คือโอกาสของประเทศไทย…ที่จะก้าวขึ้นเป็น “พลังงานสำรองของโลกใหม่”
✨✨✨✨✨✨✨✨
#บีโอไอส่งเสริมการลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติทุกขนาดการลงทุน
📱 0 2553 8111
📧 head@boi.go.th
🌐 www.boi.go.th
🔰ไม่มีค่าใช้จ่ายในการติดต่อ
#EnergyStorage2025 #SmartEnergyFuture #ThailandEnergyHub #CleanEnergyTransition #ESSInnovation #NetZero #พลังงานแห่งอนาคต
 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                ขอเชิญชวนผู้ผลิต ผู้ประกอบการ SME และ OTOP ลงทะเบียน APP "ถุงเงิน"
 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา พบว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะความนิยมในการเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงขนาดครอบครัวเล็กลง และมีทายาทน้อยลงอีกด้วย การเลี้ยงสัตว์จึงเป็นเหมือนสมาชิกหนึ่งในครอบครัว ซึ่งส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกหลานหรือคนในครอบครัว ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวต้องการนาสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นร่วมเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ด้วย จึงส่งผลต่อธุรกิจที่พักแรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
สสว. เล็งเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลต่อการปรับตัวของธุรกิจที่พักแรม จึงได้ทำการศึกษาธุรกิจ Pet Friendly HotelHotel เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ของธุรกิจ กลไกการขับเคลื่อน ประเด็นปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งโอกาสของธุรกิจที่จะปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อกำหนดมาตรการส่งเสริมหรือสนับสนุนเพื่อ SME ในธุรกิจ Pet Friendly Hotel ต่อไป
https://smeone.info/storage/app/public/uploads/files/Final+Pet+Friendly+Hotel+290968.pdf
 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                 
                                
                                