เจาะพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้ประกอบการ SME ต่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

การส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคธุรกิจ SME เป็นภารกิจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันและ
เตรียมความพร้อมสู่เศรษฐกิจดิจิทัล รายงานนี้วิเคราะห์พฤติกรรมและปัจจัยการตัดสินใจของผู้ประกอบการ SME ต่อการใช้
เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การศึกษาเก็บข้อมูลจากการสำรวจผู้ประกอบการ
SME กว่า 600 ราย การศึกษาเปรียบเทียบประเทศ OECD การทดลองเชิงพฤติกรรม และการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ รวมถึงการวิเคราะห์แนวปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ

ผลการศึกษาพบว่าผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางของการใช้เทคโนโลยีโดยภาคการผลิตใช้เครื่องจักร
กึ่งอัตโนมัติและเครื่องมือวัดดิจิทัลมากที่สุด ขณะที่การบริหารจัดการยังพึ่งพาเครื่องมือพื้นฐานอย่าง Excel และ Line การใช้
เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น หุ่นยนต์อุตสาหกรรม IoT และ AI ยังมีสัดส่วนน้อย สะท้อนว่า SME ส่วนใหญ่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
สู่ดิจิทัลจากระดับพื้นฐานสู่ปานกลาง แต่ยังมีช่องว่างสำคัญในการก้าวสู่เทคโนโลยีขั้นสูง
ปัญหาหลักแบ่งออกเป็นสามมิติสำคัญ: ปัญหาด้านทรัพยากรและงบประมาณ
- งบประมาณการลงทุนด้านเทคโนโลยีของ
SME ส่วนใหญ่ยังไม่ชัดเจน โดยหลายธุรกิจยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ การลงทุนยังพึ่งพาเงินทุนภายในเป็นหลัก สะท้อนความ
ระมัดระวังในการกู้ยืมและการควบคุมความเสี่ยงทางการเงิน ปัญหาด้านทักษะและความรู้
- ระดับทักษะด้านเทคโนโลยีของ
พนักงานแตกต่างตามขนาดธุรกิจ โดยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับปานกลาง ธุรกิจรายย่อยยังมีพนักงานจำนวนมากที่ใช้เพียง
อีเมลและโซเชียลมีเดีย ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางมีบุคลากรเชี่ยวชาญสูงกว่า ปัญหาด้านความขัดแย้งระหว่างรุ่น
- เกิดความขัดแย้งระหว่าง Gen1 และ Gen2 ในการใช้เทคโนโลยีขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการโน้มน้าวใจ
ในเชิงการปฏิบัติพบว่าธุรกิจรายย่อยมุ่งยกระดับจากแรงงานคนสู่การใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ทันสมัย ขณะที่ขนาดย่อมสนใจ
หุ่นยนต์ช่วยผลิตและ AI ควบคุมคุณภาพ ส่วนขนาดกลางมุ่งไปที่เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Digital Twin และ AI วิเคราะห์การ
ผลิต แสดงให้เห็นว่าขนาดธุรกิจมีผลต่อทิศทางการเลือกเทคโนโลยีโดยขนาดย่อมเน้นสิ่งที่ใช้ได้ทันทีและคุ้มค่า ส่วนรายใหญ่
กว่าเริ่มลงทุนในเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและใช้เงินทุนสูง

https://smeone.info/storage/app/public/uploads/files/2025/10/6.+รายงาน+“เจาะพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้ปร5.pdf

บทความแนะนำ

เจาะพฤติกรรมธุรกิจผีดิบของผู้ประกอบการ

การแก้ไขปัญหาธุรกิจผีดิบ (Zombie SME) ในประเทศไทยเป็นภารกิจเร่งด่วนในการฟื้นฟูและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก
รายงานนี้วิเคราะห์สาเหตุรากเหง้าและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุม เพื่อให้SMEสามารถฟื้นตัวจากสถานะ Zombie
กลับมาสร้างกำไรและเติบโตได้อย่างยั่งยืน การศึกษาเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการ
การประชุมระดมความคิดเห็นหน่วยงานรัฐ การวิเคราะห์ข้อมูล DBD งบการเงิน และแบบสอบถามผู้ประกอบการ Zombie firm
กว่า 519 ราย รวมถึงการศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจ

ผลการศึกษาพบว่าปัญหาธุรกิจ Zombie ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจไทย
ธุรกิจซอมบี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกขนาดตลอดทศวรรษที่ผ่านมา โดยธุรกิจขนาดย่อมและรายย่อยเพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุด
ภาคกลางครองสัดส่วนเกือบสามในสี่ของธุรกิจซอมบี้ทั้งประเทศ แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนภายในแต่ละภูมิภาคพบว่าทุกพื้นที่มี
ปัญหาใกล้เคียงกัน
ปัญหาหลักแบ่งออกเป็นสามมิติสำคัญ: ปัญหาด้าน Mindset และพฤติกรรม - ผู้ประกอบการติดอยู่ในกรอบความคิด "Stay
Small" และมีความกลัวความเสี่ยงที่เกินจริง ปรับตัวช้าต่อการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากวัฒนธรรม "Quick Win" และการตัดสินใจ
แบบ “หาเช้ากินค่ำ" ปัญหาด้านการเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน – SME ติดอยู่ในวงจรหนี้และมี "แผลเป็น" ในประวัติสินเชื่อ
ทำบัญชี 2 ชุดและกลัวปัญหาภาษีจึงไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อีกทั้งยังติดอยู่ในสถานะ "จ่ายได้แต่ดอกเบี้ย ลดต้น
ไม่ได้" ปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขัน - ธุรกิจส่วนใหญ่เป็น OEM ไม่มีแบรนด์ตัวเอง แข่งขันกับ Import Flooding
ไม่ได้ ขายผ่านคนกลางแทนการดีลตรง และขาดการพัฒนา Service Model ที่ผสม High Tech กับ High Touch
ในเชิงพื้นที่ พบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกมีปัญหาความไม่มั่นคงของรายได้สูงที่สุด ขณะที่กรุงเทพฯและ
ปริมณฑลมีความมั่นคงสูงสุด สะท้อนอิทธิพลของปัจจัยเศรษฐกิจท้องถิ่นและการเข้าถึงตลาด ภาคบริการมีจำนวนธุรกิจผีดิบ
มากที่สุด โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์การก่อสร้าง และที่พักแรม

https://smeone.info/storage/app/public/uploads/files/2025/10/5.+รายงาน+หัวข้อ+_เจาะพฤติกรรมธุรกิจผีดิบขอ.pdf

บทความแนะนำ

งานศึกษาประเด็นโอกาสและอุปสรรค ของ MSME เพื่อให้สอดคล้องกับ ข้อกฎหมาย EUDR

กฎหมายนี้กำหนดขอบเขตของการบังคับใช้สินค้า
7 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัว โกโก้ กาแฟ
ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้
(รายละเอียดเป็นไปตาม ภาคผนวกที่ I ของกฎหมาย EUDR)
สาระสำคัญของกฎหมายนี้อยู่ที่มาตรา 3 ซึ่งกำหนด
เงื่อนไขหลัก 3 ประการก่อนที่สินค้าจะสามารถนำเข้า
วางจำหน่าย หรือส่งออกจาก EU ได้ ได้แก่
(1) สินค้าต้องปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า
(deforestation-free) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ต้องไม่มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าที่ถูกเปิด
ใหม่หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020
(2) สินค้าต้องผลิตโดยเป็นไปตามกฎหมาย
ของประเทศผู้ผลิตในประเด็นที่ครอบคลุม
อย่างน้อย 8 ด้าน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับ
สิทธิในที่ดิน แรงงาน สิ่งแวดล้อม ภาษี
และสิทธิมนุษยชน
(3) สินค้าต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบ
สถานะอย่างรอบคอบ หรือที่เรียกว่า
“due diligence” เพื่อพิสูจน์ว่าปฏิบัติ
ตามข้อกำหนดทั้งสองประการแรก
อย่างครบถ้วน

https://smeone.info/storage/app/public/uploads/files/2025/10/3.infoEUDR.pdf

https://smeone.info/storage/app/public/uploads/files/2025/10/เอกสารแนบ+1++สรุปสาระสำคัญ.pdf

https://smeone.info/storage/app/public/uploads/files/2025/10/เอกสารแนบ+2+รายชื่อเผยแพร่รายงานผลการศึกษ.pdf

บทความแนะนำ

โลกกำลังเดินหน้าเต็มตัวสู่ Net Zero การใช้พลังงานหมุนเวียนกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด

โลกกำลังเดินหน้าเต็มตัวสู่ Net Zero การใช้พลังงานหมุนเวียนกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด
ช่วยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในระบบไฟฟ้าโลก ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับโจทย์ที่ท้าทายเรื่อง “ความไม่ต่อเนื่อง” และ “การควบคุมที่จำกัด
พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน เกิดได้เมื่อมีแดดหรือลม แต่ความต้องการไฟฟ้าของผู้คนและภาคธุรกิจกลับเกิดขึ้นในทุกช่วงเวลา
นี่คือ “ช่องว่าง” ที่ทำให้ระบบไฟฟ้าไม่อาจพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนได้อย่างเต็มศักยภาพ

🌟 ESS (Energy Storage System) จึงเข้ามาเป็น ตัวกลางที่สำคัญ ทำหน้าที่ “เก็บพลังงานในเวลาที่ผลิตได้” แล้ว “จ่ายออกในเวลาที่ต้องการ”

⚡️ ESS คืออะไร และทำไมจึงถูกยกระดับเป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ?
Energy Storage System (ESS) ไม่ใช่แค่แบตเตอรี่เสริม แต่คือโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานยุคใหม่
ทำหน้าที่ “เก็บ” พลังงานในช่วงที่ผลิตได้ แล้ว “จ่าย” ออกในช่วงที่ต้องการใช้ ไม่ว่าจะเป็นการสำรองไฟสำหรับบ้าน โรงงาน ศูนย์ข้อมูล หรือเสริมเสถียรภาพระบบโครงข่ายไฟฟ้าทั้งประเทศ

🔋 ระบบ ESS ที่กำลังถูกใช้มากที่สุดในปัจจุบัน คือ Battery Energy Storage System (BESS) หรือ “ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่” พูดง่าย ๆ BESS เปรียบเหมือน Power Bank แต่สามารถ เก็บ จ่าย และปรับสมดุลไฟฟ้าได้แบบ Real-time

เทคโนโลยีที่ใช้ใน BESS ส่วนใหญ่คือ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่มีจุดเด่นเรื่อง น้ำหนักเบา ชาร์จเร็ว พลังงานคงที่ และอายุการใช้งานยาวนานกว่า 15 ปี ทำให้ BESS ไม่เพียงตอบโจทย์ความมั่นคงของระบบพลังงาน แต่ยังสอดคล้องกับเทรนด์พลังงานสะอาดและการลดคาร์บอนทั่วโลก

ถูกใช้งานในหลากหลายระดับ:
🔹 ระดับครัวเรือน → แบตเตอรี่ในบ้านสำหรับโซลาร์รูฟ
🔹 ระดับอุตสาหกรรม → ระบบสำรองพลังงานสำหรับ Smart Factory
🔹 ระดับระบบไฟฟ้า (Grid) → เสริมความมั่นคงให้โครงข่ายพลังงานของเมืองหรือประเทศ

🔸 จากระบบจัดเก็บพลังงาน → สู่ Core Infrastructure แห่งโลกใหม่
ESS กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล
เพราะรองรับระบบที่ต้องการไฟฟ้าแบบ “ไม่สะดุด” และ “เสถียรสูง”
ตัวอย่างการใช้งานที่เริ่มเกิดขึ้นจริง:
🔹 Smart Factory → ลดต้นทุนพลังงาน และป้องกันความเสี่ยงจากไฟตก/ไฟดับที่อาจกระทบสายการผลิต
🔹 Data Center และโครงสร้างดิจิทัล → สำรองพลังงานในระดับมิลลิวินาที เพื่อให้ระบบ Cloud, AI และ IoT ดำเนินการต่อเนื่อง
🔹 EV Charging Hub → รองรับการชาร์จพร้อมกันจำนวนมาก โดยไม่กระทบเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า
🔹 Virtual Power Plant (VPP) → เชื่อมโยง ESS หลายพันหน่วยเข้าด้วยกัน ให้ทำงานเสมือนโรงไฟฟ้ากระจายตัว เพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าแห่งชาติ

🔋 ESS Trends 2025
4 เทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลกของการกักเก็บพลังงาน
Solid-State • Sodium-Ion • AI-Powered ESS • Circular ESS Ecosystem

ระบบ ESS ไม่ได้หยุดแค่เรื่องแบตเตอรี่ แต่กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของระบบไฟฟ้าที่ต้องรองรับความต้องการที่ซับซ้อน ยืดหยุ่น และแม่นยำยิ่งขึ้น
1. Solid-State Battery
ความจุสูง ปลอดภัย และชาร์จเร็วกว่าเดิม
ปี 2025 คือจุดเปลี่ยนของแบตเตอรี่แบบ Solid-State ที่สามารถเพิ่มความจุ (Energy Density) ได้ถึง 350–400 Wh/kg พร้อมรองรับ Fast Charge ภายใน 15–18 นาที
ผู้ผลิตอย่าง Stellantis และ Narada เริ่มใช้ในระบบ ESS ขนาดใหญ่ระดับ 8.3 MWh แล้ว

🔹 เหมาะกับโรงงานหรือโครงข่ายที่ต้องการพลังงานความหนาแน่นสูงและปลอดภัย

2. Sodium-Ion & ทางเลือกใหม่
ต้นทุนต่ำ ตอบโจทย์ระบบพลังงานในตลาดเกิดใหม่
ปีนี้ยังเห็นการเติบโตของแบตเตอรี่ “สูตรทางเลือก” เช่น Sodium-Ion เริ่มถูกนำมาใช้แทนลิเทียมในบางกรณี
แม้มีข้อจำกัดด้าน Energy Density แต่สามารถลดต้นทุนได้อย่างชัดเจน เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล หรือระบบ ESS ที่ต้องการความคุ้มค่าและดูแลง่าย
🔹 เปิดโอกาสใหม่ให้หลายประเทศที่ไม่มีแหล่งแร่ลิเทียม

3. AI-Powered ESS
จัดการพลังงานแบบเรียลไทม์ด้วย AI & Software
ระบบ Energy Management System (EMS) ที่ฝัง AI ช่วยเรียนรู้รูปแบบการใช้พลังงาน คาดการณ์ช่วง Peak Load และควบคุมการจ่ายไฟจาก ESS แบบอัตโนมัติ
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ Smart Factory, อาคารพาณิชย์ และ EV Hub ได้อย่างมีนัยสำคัญ
🔹 ESS กำลังเปลี่ยนจาก "กล่องแบตเตอรี่" → สู่ "สมองกลพลังงาน"

4. ESS-as-a-Service
โมเดลใหม่ที่เปลี่ยนการลงทุนเป็นบริการ
ปี 2025 คือจุดเร่งตัวของ “ESS-as-a-Service” — ผู้ประกอบการสามารถเช่าใช้ระบบ ESS แบบ Subscription Model แทนการลงทุนก้อนใหญ่
โมเดลนี้ช่วยให้ SME และโรงงาน C&I ใช้ระบบ ESS เพื่อ:
• ลดค่าไฟช่วง Peak
• เพิ่มเสถียรภาพให้เครื่องจักร
• เชื่อมต่อกับ Solar Rooftop หรือ EV Charger ได้ง่ายขึ้น
🔹 เปิดทางให้ธุรกิจทุกขนาดเข้าถึง ESS ได้จริง

โอกาสของไทยในห่วงโซ่ ESS ศูนย์กลาง ESS ของภูมิภาค
เมื่อพลังงานสำรอง กลายเป็น “พลังงานเชิงยุทธศาสตร์”

ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) กำลังกลายเป็นหัวใจของระบบพลังงานใหม่ที่ทั้งโลกจับตา
และประเทศไทย…กำลังกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของห่วงโซ่นี้อย่างเต็มตัว
🔋ผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับโลกเริ่มปักหมุดลงทุน Sunwoda หนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่ Top 10 ของโลกจากจีน เลือกลงทุนในไทย 50,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในระดับเซลล์สำหรับ EV และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ที่ชลบุรี โดยคาดว่าจะสามารถเปิดสายการผลิตได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศไทย เพื่อปิดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้ครบวงจร รองรับการจัดการแบตเตอรี่เสื่อมสภาพอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับตลาด EV และพลังงานสะอาดในภูมิภาค

♻️ บีโอไอ ยังมีประเภทกิจการ สำหรับ ศูนย์ซ่อม/รีแพ็ค/รีไซเคิลแบตเตอรี่ EV และ ESS ที่หมดอายุการใช้งานซึ่งเป็นก้าวสำคัญของ Circular Economy ที่เชื่อมโยงกับ “Second-Life ESS” การนำแบตเตอรี่เก่ามาใช้ต่อในระบบพลังงานของอาคาร ชุมชน หรือโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก และสำหรับผู้ประกอบการที่ลงทุนติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า BESS หรือ เครื่องแปลง Inverter ของระบบ BESS ในโครงการสามารถยื่นขอรับบีโอไอภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้านการใช้พลังงานทดแทนได้อีกด้วย

และนี่คือโอกาสของประเทศไทย…ที่จะก้าวขึ้นเป็น “พลังงานสำรองของโลกใหม่”
✨✨✨✨✨✨✨✨
#บีโอไอส่งเสริมการลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติทุกขนาดการลงทุน
📱 0 2553 8111
📧 head@boi.go.th
🌐 www.boi.go.th
🔰ไม่มีค่าใช้จ่ายในการติดต่อ

#EnergyStorage2025 #SmartEnergyFuture #ThailandEnergyHub #CleanEnergyTransition #ESSInnovation #NetZero #พลังงานแห่งอนาคต

บทความแนะนำ

ขอเชิญชวนผู้ผลิต ผู้ประกอบการ SME และ OTOP ลงทะเบียน APP "ถุงเงิน"

ขอเชิญชวนผู้ผลิต ผู้ประกอบการ SME และ OTOP ลงทะเบียน APP "ถุงเงิน"

บทความแนะนำ

Clear Cache
Clear All Cache
Enable Page Cache
Disable Page Cache