ผงผัก Care Choice เปลี่ยน Food Waste เป็นนวัตกรรม

ผงผัก Care Choice เปลี่ยน Food Waste เป็นนวัตกรรม

Care Choice เป็นแบรนด์ลูกของ บริษัท ด.เด็กกินผัก จำกัด ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการจัดหาสินค้าเกษตรประเภทผักและผลไม้สด ทั้งผักปลอดสารเคมี (Pesticide residue free) และผักอินทรีย์ (Organic) ป้อนให้กับกลุ่มภาคอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็น โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร, ร้านอาหารทั่วไป และร้านอาหารในรูปแบบ Chain Restaurant, โรงแรม รวมไปถึงค้าปลีกอย่างซุปเปอร์มาร์เก็ต

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ มาตรฐานสินค้าของ ด.เด็กกินผักที่จัดส่ง ทำให้ในแต่ละวันมีผักสดและผลไม้ที่สด คุณภาพดีสมบูรณ์ แต่อาจจะมีตำหนิ ไม่สวยงามผ่านเกณฑ์การคัดเลือกประมาณ 20% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง  ปริมาณของผลผลิตที่ถูกคัดทิ้งนี้ คือจุดเริ่มต้นการพัฒนาสินค้านวัตกรรมอย่าง “ผักอบแห้ง” และ “ผงผัก” Care Choice ของคุณธีระวุธ ศิริทองนภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ด.เด็กกินผัก จำกัด เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งตอนแรกคู่ค้าส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับ จนเมื่อความต้องการที่จะลด Food Waste ได้มารวมกับกระแสการดูแลสุขภาพที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น 2 แรงบวกนี้เองที่ทำให้ Brand Positioning ของ Care Choice ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับจากท้องตลาดในที่สุด เบื้องหลังความสำเร็จของ Care Choice จึงมีความน่าสนใจไม่ใช่น้อย


SME One : จุดเริ่มต้นของ Care Choice เกิดขึ้นมาได้อย่างไร 

ธีระวุธ : จุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากเราทำโรงงานทางด้านผักสดที่ปลูกให้กับโรงงานอุตสาหกรรม แล้วในกระบวนการผลิตจะมีผักที่ตกค้างที่เป็นผักตกเกรดแต่คุณสมบัติยังดีอยู่ เรามาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ผักที่ตกค้างอยู่ในโรงงานที่ไม่ผ่านสเปค เช่น แครอทมีข้อกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องมีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าไหร่ หรือน้ำหนักต่อหัวเท่าไหร่ ซึ่งมีบางส่วนที่ถูกคัดทิ้ง โดยเฉลี่ยแล้วผัก 100% จะถูกคัดทิ้งเกือบ 20% ด้วยความที่มีของตกค้างมีมูลค่าเป็นล้านบาทอยู่ในโรงงานของเรา ทีมงานก็เลยมาคิดค้นเป็นผงปรุงรสจากผักที่ใช้แทนผงชูรส หรือใช้แทนผงปรุงรส แต่เป็นผงปรุงรสเพื่อสุขภาพที่ไม่มีสารเคมี โดยเอาผักที่เรามีอยู่ในโรงงานและผักพื้นบ้านมาทดลอง จนออกมาเป็นผงปรุงรสจากผักที่ใช้ชื่อแบรนด์ว่า Care Choice


SME One : จากแนวคิดพัฒนามาเป็นสินค้าผงปรุงรสได้อย่างไร

ธีระวุธ : เราได้ไอเดียมาจากประเทศญี่ปุ่นที่จะมีซุปดาชิซึ่งนิยมใช้ปรุงเป็นเครื่องปรุงประจำบ้าน ก็เลยมองว่าเราทำแบบนั้นที่เมืองไทยได้หรือไม่ จึงไปศึกษาคุณสมบัติของผักแต่ละตัวที่แตกต่างกัน ให้กลิ่นสีรสชาติที่แตกต่างกัน และก็พบว่าพวกหอมหัวใหญ่ ผักชี เห็ดหอม ซึ่งเป็นผักที่หาได้ตามบ้านเรา เมื่อเอามาผ่านกระบวนการผลิตต่างๆ และนำไปปรุงรสจะให้รสชาติที่กลมกล่อม เหมือนรสชาติซุปดาชิของญี่ปุ่น ก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนสุดท้ายลูกค้าบอกว่ารสชาติแบบนี้อร่อยลงตัวพอดี จึงตั้งต้นแล้วทำออกมาเป็นแบรนด์ ตอนแรกชื่อว่าแบรนด์ Carrot แต่คำว่า rot แปลว่าของเสียหรือขยะไม่ดีก็เลยเปลี่ยนแบรนด์มาชื่อว่า Care Choice เมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของผงปรุงรสจากผักเพื่อสุขภาพที่ใช้ผักปลอดสารมาเป็นวัตถุดิบ 


SME One : ตอนที่เริ่มพัฒนาเทรนด์เรื่องอาหารสุขภาพมาแรงเหมือนในปัจจุบันหรือไม่ หรือพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ Food Waste เท่านั้น

ธีระวุธ : สมัยนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยพูดถึงอาหารสุขภาพ คำว่าคลีนยังไม่ค่อยมีคนใช้กัน แต่ในเอเชีย ตะวันออก เช่น ออสเตรเลีย หรือญี่ปุ่น หรือทางยุโรป อเมริกา อาหารคลีนหรือผงปรุงรสเพื่อสุขภาพเขามีเป็น Section ใหญ่ แต่บ้านเรายังไม่เป็นเทรนด์ ตอนแผนกจัดซื้อของห้างแต่ละห้างยังไม่ยอมรับสินค้าเรา บางคนหยิบไปโยนถังขยะเลยหลังจากที่เราเดินออกมา บอกว่าไม่มีศักยภาพ อันนั้นคือสิ่งที่เราเจอมาก่อนในตอนที่เราเอาสินค้าที่ชื่อว่า Carrot ไปนำเสนอห้าง ตอนนั้นยังไม่มีกระแสอาหารสุขภาพนี้เลย ทุกคนปฏิเสธสินค้าเราเกือบทุกที่ แต่สุดท้ายก็ไปเจอที่ Top Supermarket ที่เปิดโอกาสให้เราเอา Care Choice ไปวางขายก็เลยเป็นแบรนด์ผงปรุงรสเพื่อสุขภาพแรกๆ ที่ได้วางขายคู่กับผงชูรส ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น

SME One : ช่วงแรกที่ทั้งคนซื้อ และร้านค้าไม่ยอมรับ มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร

ธีระวุธ : เราเน้นออกงานแสดงสินค้าที่เราได้สิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐ เพื่อที่จะให้คนได้เห็นและได้ทดลองใช้ เราเชื่อว่ายังมีคนกลุ่มเล็กๆ ที่ยังสนใจ เราพบว่าเริ่มต้นตอนนั้นคนที่สนใจจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ เพราะกลุ่มนี้เขาจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เราก็เห็นว่ามันมีศักยภาพสำหรับคนกลุ่มนี้ แล้วเราก็ใช้สื่อออนไลน์ช่วยกระจายแบรนด์ให้คนรู้จัก ก็ใช้ควบคู่กันไป ยอมรับว่าสมัยนั้นสื่อดิจิทัลเราก็ยังไม่ได้มีความรู้มาก จึงต้องอาศัยงานแสดงสินค้าที่ภาครัฐเปิดโอกาสให้เราเข้าไปแนะนำ พอเราเข้า Top Supermarket ได้ เราก็เลยเอาตรงนั้นเป็น Reference ให้เราไปนำเสนอกับห้างอื่นๆ เช่นเดอะมอลล์หรืออะไรต่างๆ จนมาตรงกลุ่มที่สุดตอนเลมอนฟาร์มเปิดโอกาสให้เราเอาสินค้าไปวางขาย เลมอนฟาร์มเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่ตรงกลุ่มมาก คือเป็นกลุ่มผู้รักสุขภาพ หลังจากนั้นเราก็พยายามพัฒนาสูตรใหม่ๆ รวมถึงพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และลงทุนไปออกงานแสดงสินค้า Thaifex เราทำหลายอย่างมาก คนก็เริ่มเห็นมากขึ้นๆ เป็นการสร้าง Awareness ให้กับตลาดให้กับลูกค้า เราใช้เวลาหลายปีมาก แล้วเวลาที่มีเวทีในการประกวด เราก็นำสินค้าของเราไปประกวดด้วย เพราะเป็นช่องทางในการที่เราจะได้คำแนะนำจากทางกรรมการเพื่อกลับมาพัฒนาปรับปรุงสินค้าของเรา ตอนนั้นประกวดของสสว. ได้รางวัล SME Provincial Champions ของจังหวัด ได้ 2-3 ปีติดต่อกัน จากนั้นก็ไปเวที 7 Innovation Awards ไปเวที Prime Minister Awards

SME One : ลูกค้าของ Care Choice ปัจจุบันคือผู้บริโภคทั่วไป หรือกลุ่มธุรกิจ HORECA

ธีระวุธ : Care Choice ขยายไปถึงโรงงานอุตสาหกรรม ตอนแรกเราเริ่มจากผู้สูงอายุก่อน จากนั้นก็มีการรีแบรนด์ให้ดูทันสมัยขึ้น ประกอบกับช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เมืองไทยก็มีกระแสการทำอาหารคลีน อาหารสุขภาพ อาหารโซเดียมต่ำ น้ำตาลต่ำ มีการกินคีโต ทำให้สินค้าของเราก็ได้ไปอยู่ในกลุ่มกระแสที่ดูแลสุขภาพด้วย พอคนค้นหาใน Google เกี่ยวกับเครื่องปรุงที่ไม่ใส่ผงชูรส Care Choice จะขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ คนก็เริ่มนำสินค้าของเราไปทดลองในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ช่วงแรกๆ ที่ติดต่อเรามาจะเป็นกลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งต่างประเทศจะต้องการเครื่องปรุงที่ไม่ใช้สารเคมี ไม่มีผงชูรส ก็เลยเข้าทางผงปรุงรสของเรา เราก็เลยเริ่มเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร แล้วก็เริ่มมีร้านอาหารต่างๆ เช่น Narai Pizzaria ก็มีการนำสินค้าเราไปทดลอง  Care Choice ก็เลยทำตลาดทั้ง HORECA (ธุรกิจโรงแรม Hotel, ร้านอาหาร Restaurant, กาแฟและธุรกิจจัดเลี้ยง Café and Catering) และ กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (End User) รวมถึงทำ OEM (Original Equipment Manufacturer) ก็ทำด้วย ตอนนี้ Care Choice ก็เริ่มส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน คือ กัมพูชา เมียนมาร์ ลาว สิงคโปร์ มาเลเซีย ร้านออนไลน์หรือร้านเพื่อสุขภาพ หรือซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นของเขาก็เริ่มเอาสินค้าเราไปวางขาย

SME One : ปัจจุบัน Care Choice มีกี่รสชาติ

ธีระวุธ : ถ้าเป็นผงปรุงรส เรามีเกือบ 20 รสชาติ รสชาติแรก คือสูตรดั้งเดิมที่เป็นผงปรุงรสจากผักสูตร ง่ายๆ คือมาจากผักที่ตกค้างอยู่ในโรงงานของเรา อย่างเช่น หอมหัวใหญ่ หัวไชเท้า ส่วนรสชาติใหม่ๆ จะเกิดจากความต้องการของลูกค้า เช่น สูตรเห็ดหอมที่ไม่มีหอมหัวใหญ่สำหรับคนกินเจ หลังจากนั้นก็พัฒนาโดยดูจากตลาดว่าผงปรุงรสรสชาติอะไรที่เข้ากับการทำอาหารของคนไทย เช่น สูตรที่เหมาะสำหรับผัดก็มีกระเทียมเข้ามา ปัจจุบันก็พัฒนาเป็นสูตรปรุงสำเร็จ อย่างเช่น แกงเผ็ด ผัดกะเพรา ต้มยำ ต้มข่าไก่ ฯลฯ เป็นกลุ่มใหม่ที่เราเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา 

ส่วนกลุ่มเด็กก็จะเป็นอีกไลน์สินค้าที่เราแตกย่อยออกมา เราก็มองว่าสินค้าอาหารเสริมของเด็กในตลาดมีศักยภาพ แล้วโรงงานของเราก็มีศักยภาพในการที่จะผลิตด้วย เนื่องจากเราเป็นผู้พัฒนาผงปรุงรสสำหรับเด็ก 1 ขวบขึ้นไปเป็นเจ้าแรกของประเทศ เรามองว่าคุณแม่ใช้ผงปรุงรสของเราเยอะมาก เราสังเกตว่าทำไมโปรไฟล์คุณแม่เยอะมากในการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ก็เลยมาคิดกันว่าเราน่าจะพัฒนาเป็นสูตรเฉพาะสำหรับเด็กที่กินยาก โดยเพิ่มความหอม รสอูมามิเข้าไป เพิ่มสาหร่ายเข้าไป เพื่อให้เด็กกินเข้าไปแล้วรู้สึกว่าถูกลิ้นกับเขา 

พอเรามีผงปรุงรสสำหรับเด็กเป็นเจ้าแรก ไลน์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับอาหารเสริมสำหรับเด็กก็ตามมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเรามีผงผักมีวัตถุดิบครบอยู่แล้ว เราก็ลองเทสตลาดดู ปรากฏว่ามันไปได้ดีมาก เราก็เลยพัฒนาไลน์ทางด้านอาหารเสริมสำหรับเด็ก ซึ่งปัจจุบันเรามีสินค้าเกือบ 80 SKUs ที่เกี่ยวกับสินค้าสำหรับเด็ก สินค้ากลุ่มนี้จะมีเป็นผงโรยข้าวพร้อมทาน เช่น ผงผักบดละเอียด แครอท หรือฟักทองที่คุณแม่สามารถโรยข้าวเสริมอาหารให้กับน้อง และก็จะเป็นกลุ่มธัญพืช Super Food เช่น งา คีนัวบดละเอียด เด็กตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปสามารถทานได้ แล้วก็จะมีกลุ่มเนื้อสัตว์ ตับไก่บดผง เรามีการแบ่ง Category มาเป็นผัก ธัญพืช เครื่องปรุง เนื้อสัตว์บดผง แล้วก็มีโจ๊กสำหรับเด็ก 6 เดือนขึ้นไป วางขายประมาณ 20 รสชาติ สินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์เราเพิ่งจะมาพัฒนาหลังจากที่เราเริ่มมาเปิดไลน์พัฒนาอาหารเสริมสำหรับเด็ก

SME One : สัดส่วนการขายสินค้าใหม่ กับผักสดตอนนี้เป็นอย่างไร

ธีระวุธ : ตอนนี้ผักสดทำรายได้ประมาณ 20% ผงปรุงรสกลายมาเป็นสินค้าตัวหลักของเราประมาณ 50% และ 30% ที่เหลือจะมาจากอาหารเสริมสำหรับเด็ก ธุรกิจทั้ง 3 ส่วนยังมีการเติบโตทุกปี แต่จะโตจากผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่เรานำเสนอออกไปให้กับผู้บริโภคคือกลุ่มแม่และเด็กมากหน่อย

SME One : ช่วงพัฒนาสินค้ามีไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐบ้างหรือไม่

ธีระวุธ : เรามีการไปขอทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น สูตรผงปรุงสำเร็จ เราก็ได้งบมาจากภาครัฐ โดยได้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังเข้ามาช่วยทำ R&D ให้ พอเราเริ่มทำได้ เราก็เลยมาต่อยอดธุรกิจของเราเอง 

SME One : ที่ผ่านมามีสินค้าออกใหม่ที่คิดว่าจะขายดี แต่ขายไม่ได้บ้างหรือไม่

ธีระวุธ : มีสินค้าบางตัวเราคิดว่าน่าจะไปได้แต่มันก็ไปไม่ได้ ส่วนใหญ่เรามักจะมองว่าสินค้าที่เป็นเทรนด์แรงๆ เช่น คีโตอะไรแบบนี้ อะไรที่เป็นกระแสไม่ยั่งยืน สุดท้ายมันก็ไปไม่ได้นาน เช่น ผงปรุงรสคีโตอะไรแบบนี้ ซึ่งมันมาแรงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้กลายเป็นว่าคีโตยอดตกระนาว ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย เพราะคนก็คงไม่สามารถทานคีโตได้ทุกวัน ต้นทุนในการทำมันก็สูง แล้วราคาก็แพงมาก กลายเป็นว่าพอเราออกสินค้าที่เป็นคีโตไป มันก็ไปได้แป๊บเดียว แล้วก็ไม่ได้สร้างยอดขายให้กับเรา เราก็เลยมองว่ามันไม่ใช่แนวเรา เราควรจะเน้น Healthy ไปเลย ไม่ใช่แค่เรื่องอยากผอม

SME One : จากนี้ต่อไปมีแผนจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร

ธีระวุธ : พอเราไปออกงาน Thaifex เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก็เห็นแล้วว่าโอกาสในการเปิดตลาดต่างประเทศค่อนข้างสูง ลูกค้าต่างประเทศที่เข้ามาค่อนข้างเยอะมาก แต่ก็ต้องบอกว่าเรายังไม่มีความพร้อมในการส่งออก เช่น เรื่องของมาตรฐานในทางตลาด แต่เราเห็นดีมานด์ เห็นความต้องการของตลาดที่จะไปทางอเมริกายุโรป หรือแม้แต่ฝั่งเอเชียบ้านเราก็มีความต้องการสินค้ากลุ่มพวกนี้ค่อนข้างสูง 

ปีนี้ก็คงจะเป็นปีที่ต้องพัฒนาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Packaging มาตรฐานอุตสาหกรรม ที่เราจะต้องสามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ แล้วก็ในเรื่องของ Marketing Communication ทั้งหมด ตอนนี้เว็บไซต์ก็เริ่มแปลเป็น 2 ภาษา เริ่มทำระบบหลังบ้านเป็นภาษาอังกฤษแล้ว เพื่อจะเตรียมตัวสำหรับปีหน้าในการออกต่างประเทศจริงๆ แล้วก็ไปออกงานต่างประเทศด้วย งาน Thaifex ในปีหน้าเราก็คาดหวังว่าบูธของเราจะเป็น 2 ภาษาอย่างเต็มรูปแบบ Packaging ก็จะต้องเป็น 2 ภาษาอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อจะเตรียมตัวสำหรับไปต่างประเทศ 

SME One : ช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา Care Choice ได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่

ธีระวุธ : COVID-19 ทำให้ยอดขายต่อปีเราขึ้น เพราะว่าคนมี Awareness ในเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น ผู้บริโภคต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น คนก็ Work from home เยอะ เรียกว่าวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป และช่องทางออนไลน์ก็โตขึ้น เพราะว่าคนไม่สามารถไปช้อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตได้ อย่างเช่น จังหวัดชลบุรีหลายพื้นที่เป็นพื้นที่สีแดงหมดเลย ปรากฏว่าลูกค้าที่ชลบุรีสั่งออนไลน์เราหมดเลย ยอดออนไลน์เราก็โตขึ้นมาก รายได้ของเราก็เลยเติบโตขึ้นสวนกระแส 

SME One : อะไรคือความท้าทายของ Care Choice 

ธีระวุธ : ความท้าทายตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องการตลาด เพราะคู่แข่งเข้ามาเยอะมากๆ บริษัทขนาดใหญ่ก็เริ่มทำผลิตภัณฑ์ออกมาแล้วก็นำเข้าไปวางขายข้างเรา ตอนนี้เราจึงต้องพัฒนาตัวเองค่อนข้างเยอะมาก เพราะบริษัทใหญ่ๆ ถ้าเขามีช่องที่จะทำ ถ้าเขาเห็นว่าในตลาดสินค้าตัวนี้ไปได้ เขาก็ลงมาเล่น เราก็ต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะ แต่จุดเด่นของเรา คือเราสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าตัวใหญ่ๆ อันนี้ก็จะเป็นความท้าทายในเรื่องของคู่แข่งตัวใหญ่ที่เริ่มลงมาเล่น

ส่วนคู่แข่งที่เป็น SMEs ด้วยกัน พอเขาเห็นแล้วว่าสินค้าตัวนี้ไปได้ ตอนนี้ก็จะเห็นเยอะมากแบรนด์ต่างๆ ที่เป็นผงปรุงรสจากผัก ผงปรุงรสลดโซเดียม ตอนนี้ก็เต็มตลาด ความท้าทายของเราตอนนี้ก็เลยเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆ ออกมา ไม่อย่างนั้นเราก็จะโดนเลียนแบบสินค้าตัวเก่าๆ ไป เราก็เลยต้องออกใหม่เรื่อยๆ แตกไลน์สินค้าไปเรื่อยๆ 

SME One : อยากให้ฝากคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ SMEs

ธีระวุธ : มองว่าการทำธุรกิจตอนนี้อย่าคิดง่ายๆ สิ่งที่เจอตอนนี้มีนักธุรกิจเยอะมากที่คิดกันง่ายๆ คิดว่าอยากจะสร้างแบรนด์ แล้วทำกันขึ้นมาโดยที่ไม่มีการวางแผน ไม่มีการวิเคราะห์ตลาดที่ดีพอ สุดท้ายก็เลยไปกันไม่รอด ฉะนั้นมองว่าการทำความเข้าใจลูกค้า ตีโจทย์ตลาดให้แตกก่อนเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆ ตรงนี้เราได้ประสบการณ์ตรงมาจากลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเพื่อที่จะทำ OEM คือการที่เราจะทำแบรนด์ หรือให้คำแนะนำกับใคร เราจะถามว่ากลุ่มลูกค้าของคุณคือใคร ต้องการผลิตภัณฑ์อะไร ตอบโจทย์อะไร ซึ่งคนที่ติดต่อเข้ามาประมาณ 80-90% ตอบไม่ได้ เขาแค่รู้ว่าคนขายเยอะมาก ก็เลยอยากจะขาย ดังนั้นต้องตีความต้องการของลูกค้าให้แตก ต้องศึกษาเรื่องตลาดให้ถ่องแท้ ก่อนที่จะลงทุนทำแบรนด์ขึ้นมา เพราะมันมีไม่กี่รายที่จะรอด  เรื่องสุดท้ายจะต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเองด้วย บางคนเจออุปสรรคขายไม่ได้ ก็หยุดเลย แต่คนที่ทำ OEM กับเราแล้วไปรอด เขาพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ เขาก็จะมีโจทย์ใหม่ๆ มาให้เราช่วยคิดช่วยพัฒนาอะไรแบบนี้

บทสรุป

ความสำเร็จของ Care Choice ล้วนมาจากการที่ไม่หยุดพัฒนา และไม่ยอมแพ้กับความท้าทายหรืออุปสรรคที่มันเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่สินค้ายังไม่ได้รับการยอมรับจากท้องตลาด แม้ว่าสินค้าจะมีนวัตกรรมที่สามารถยกระดับจากสินค้า Commodity ทั่วไปซึ่งแทนที่จะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น คุณธีระวุธเลือกที่จะสร้างโอกาสด้วยการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการ และมองหาโอกาสใหม่ๆ ตลอดเวลา จนสามารถเดินไปเจอลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ที่มั่นใจในตัวแบรนด์ได้ในที่สุด

 

บทความแนะนำ