บทความแนะนำ

รีวิวศูนย์บริการ SME 1

รีวิวศูนย์บริการ SME 1

ติดอาวุธ SME ไทย ด้วย Digital Marketing

ติดอาวุธ SME ไทย ด้วย Digital Marketing


Digital Marketing โอกาสที่เปิดกว้างสำหรับ SME


เมื่อ Digital Marketing คือเทรนด์ของการทำการตลาดยุคใหม่ที่ผู้ประกอบการต้องไม่มองข้าม โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพราะด้วยข้อจำกัดด้านเงินทุน ทำให้โอกาสในการลงทุนที่จะใช้สื่อเพื่อทำการตลาดอาจมีไม่เท่ากับองค์กรขนาดใหญ่ที่สายป่านยาวกว่า ดังนั้นช่องทางออนไลน์จึงกลายเป็นโอกาสทองให้กับบรรดา SME รายเล็กรายน้อย หรือแม้แต่มือใหม่ มือสมัครเล่นทั้งหลาย สามารถสร้างสรรค์พื้นที่และฐานลูกค้าของตนเองขึ้นมาได้ รวมถึงยังเป็นช่องทางที่จะเปิดกว้างออกไปสู่ตลาดใหม่ๆ ที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในประเทศเท่านั้นอีกด้วย

ดร.ประวิทย์ เขมะสุนันท์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรม เป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันว่า ปัจจุบัน Digital Marketing มีความจำเป็นอย่างยิ่งกับผู้ประกอบการ SME เนื่องจากในอดีตนั้น วิธีการทำการตลาดโดยทั่วไป โดยเฉพาะในยุคอุตสาหกรรม (Industrialization) มักจะพูดถึงเรื่องของ Economies of Scale หรือ การผลิตจำนวนมากเพื่อให้ต้นทุนลดลง เมื่อผู้ประกอบการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำนั้น ทำให้ผู้ประกอบการ ต้องมีการวางแผนเรื่องของการกระจายสินค้า ต้องมีร้านค้าหรือสาขาเป็นจำนวนมาก หรือส่งสินค้าเข้าไปขายในห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมถึงต้องมีระบบโลจิสติกส์ที่ดีรองรับอีกด้วย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ถือว่าเป็นวิธีการในการขับเคลื่อนสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคก็จริง แต่บางครั้งการที่จะให้ผู้ประกอบการ SME เอาสินค้าเข้าไปตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาจำนวนมาก ผู้ประกอบการอาจจะยังไม่พร้อมที่จะขยายตัวเพื่อผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น เพราะการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ย่อมมาพร้อมกับการลงทุนที่สูง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงว่าสินค้านั้นๆ จะเป็นที่นิยมของลูกค้าในขณะนั้นหรือไหม

แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของผู้คน สามารถที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารหรือสื่อสารถึงกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้วิธีการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการรายเล็กๆ หรือ SME มีโอกาสที่จะสร้างตลาดเป็นของตัวเอง โดยใช้ช่องทางออนไลน์เป็นเวทีในการโชว์ตัวให้ลูกค้าได้เห็น และมีแนวโน้มอย่างชัดเจนว่า ช่องทางออนไลน์จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเรื่องปกติของคนยุคใหม่ไปแล้ว เมื่อเทียบกับอดีตที่อาจจะเคยมีความกังวลอยู่บ้างในเรื่องของการจับจ่ายใช้สอยบนโลกดิจิตอล

 

Published by scbsme.scb.co.th on 17 September 2012

SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

ซินจ่าว เวียดนาม ส่งสินค้าอะไรไปขายดี

ประเทศที่ส่งสินค้าเข้าประเทศเวียดนามในอันดับต้น ๆ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ ไทย โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วน ผ้าผืน  ก็ตาม แต่เมื่อวิเคราะห์ดูจากสถิติการส่งออกของประเทศไทยและศักยภาพในการผลิตของประเทศเวียดนามแล้วพบว่า

อุตสาหกรรมผลไม้แปรรูป มีโอกาสมากที่สุด เนื่องจากจำนวนโรงงานแปรรูปผลไม้ในเวียดนามยังมีไม่มาก และโรงงานส่วนใหญ่อยู่ระหว่างพัฒนากระบวนการผลิต รวมถึงยังขาดความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยส่วนมากยังเป็นผลไม้กระป๋องและผลไม้อบแห้ง ขณะเดียวกันโรงงานแปรรูปผลไม้ยังขาดแคลนวัตถุดิบที่มีคุณภาพ นักลงทุนไทย จึงสามารถส่งออกผลไม้สดคุณภาพดีจากไทย อาทิ ทุเรียน มังคุด มะม่วง และลำไย เข้าไปแปรรูปในเวียดนามได้ ซึ่งนักลงทุนไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เคลื่อนย้ายวัตถุดิบเข้าไปยังเวียดนามโดยปราศจากภาษีศุลกากร นอกจากนี้ การขนส่งผลไม้สดจากไทยไปเวียดนามก็มีความสะดวกมากขึ้น โดยใช้เส้นทาง R12 ที่เชื่อมโยงจากกรุงเทพ-นครพนม ประเทศไทย ไปที่แขวงคำม่วน สปป.ลาว และไปยังจังหวัดกว๋างบิ่งห์ เวียดนาม ระยะทาง 1,383 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นกว่าและมีต้นทุนค่าขนส่งที่ถูกกว่าเส้นทางขนส่งทางบกอื่น ๆ

 

10 สินค้าส่งออกติดอันดับ

1.เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์

2.ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง

3.หม้อแบตเตอรี่และส่วนประกอบ

4.ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า

5.ผ้าผืนและด้าย

6.เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ

7.วงจรพิมพ์

8.เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้า

9.ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ

10.เครื่องสืบเชื้อเพลิงของเหลว

 

Published  by  scbsme.scb.co.th  on  19 May 2017

SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ

"พันธ์ภูวดล จารุโชติรัตนสกุล" ถอดกลยุทธ์ปรับตัว สร้างโอกาสโตยุค Digital Disruption

การรับไม้ต่อในฐานะทายาทรุ่นที่ 2 ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นับเป็นความท้าทายของคุณพันธ์ภูวดล จารุโชติรัตนสกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเน็คเทรด จำกัด ที่ต้องนำพาทั้งธุรกิจเดิมให้อยู่รอดและมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตไปข้างหน้าได้มากยิ่งขึ้น

รู้ทัน Disruption ปรับธุรกิจให้ไว

จากธุรกิจดั้งเดิมตั้งแต่ยุคบุกเบิกของบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเน็คเทรด จำกัด ที่สร้างแบรนด์ “อิงค์แมน” ขึ้นมา เพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์บริการเติมน้ำหมึกแบบครบวงจร ซึ่งในอดีตยามธุรกิจรุ่งเรืองสามารถขยายสาขาได้มากถึง 60 สาขา แต่ปัจจุบันด้วยการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งอย่างทำให้จำนวนสาขาค่อยๆ ลดลงเหลือเพียง 16 สาขาเท่านั้น และนั่นอาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า ธุรกิจกำลังได้รับผลกระทบจาก Digital Disruption คุณพันธ์ภูวดล เริ่มเท้าความให้ฟังถึงเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอิงค์แมน

“ความท้าทายของการเป็นทายาทรุ่นที่ 2 นอกจากเรื่อง Disruption แล้ว ยังต้องเจอกับโจทย์ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจครอบครัวเกิดความยั่งยืนอีกด้วย ซึ่งถ้าพูดถึงการ Disruption นั้น ถือเป็นสิ่งที่หลายคนรู้อยู่แล้วว่ามันมาแน่นอน โดยสามารถเปรียบเทียบกับสัตว์ 3 ชนิด ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามที่มากับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Elephant in the Room หรือช้างในห้อง เปรียบเสมือนภัยคุกคามที่เห็นได้ชัด มาแน่นอน และธุรกิจมีการปรับตัวทัน ยกตัวอย่างการคมนาคม อย่างการทำรถไฟฟ้า ต่อมาคือ Black Swan หรือหงส์สีดำ เป็นการ Disrupt ที่มองไม่เห็นและเกิดขึ้นแบบจู่โจม เช่น น้ำท่วม เหตุการณ์ 9/11 และสุดท้ายคือ Gray Rhino หรือแรดสีเทา ภัยคุกคามทางธุรกิจที่เราเห็น แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง เพราะคิดแค่ว่าเดี๋ยวมันก็สูญพันธุ์ไปเอง ดังนั้น การเอาตัวรอดให้ได้ในยุค Digital Disruption จำเป็นที่ SME ต้องรู้จักปรับตัว มองให้ออกว่าอะไรเป็นภัยคุกคามที่จะเข้ามาทำลายธุรกิจของเรา”

คุณพันธ์ภูวดล ยอมรับว่า ธุรกิจในกลุ่มไอซีทีถือเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ถูก Disrupt ทำให้การทำงานของนักธุรกิจไอทีรายนี้ต้องทำเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว เพื่อให้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ได้นั้นยังคงเดิม และต้องทำการขายสาขาบางส่วนออกไป เพื่อลดความเสี่ยง ลดต้นทุน ลดการจัดการ และลดคน ซึ่งเป็นวิธีการปรับตัวอย่างหนึ่งที่ธุรกิจเลือกหยิบมาใช้

“จากคำกล่าวของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ว่า ไม่ใช่สัตว์ที่แข็งแรงที่สุดหรือฉลาดที่สุดที่จะอยู่รอดได้ แต่เป็นสัตว์ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองกับสภาพแวดล้อมได้เร็วที่สุดต่างหาก ในการทำธุรกิจก็คงไม่ต่างกัน ซึ่งเราทำการปรับตัวโดยหันมาใช้ช่องทางออนไลน์เข้ามาสื่อสารกับลูกค้ามากขึ้น จากเดิมที่มีเพียงหน้าร้าน เราสร้างเว็บไซต์ให้กับทุกหน่วยการขายของเรา รวมถึงใช้ช่องทางออนไลน์อื่นๆ เช่น Facebook, Line@, YouTube และการทำคลิปวิดีโอ ซึ่งอย่างน้อยเจ้าของธุรกิจควรจะรู้ว่า เครื่องมือเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร ใช้อย่างไร และถ้าต้องการลงโฆษณาต้องทำอย่างไร”

ต่อยอดธุรกิจใหม่ คว้าโอกาสที่มากขึ้น

นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนธุรกิจเดิมแล้ว การแตกไลน์ไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อย้ายสนามแข่งขัน ถือเป็นการเพิ่มโอกาสและการอยู่รอดให้กับธุรกิจ

“เราพยายามปรับตัวธุรกิจไม่ให้อยู่แค่ในการพิมพ์กระดาษเท่านั้น โดยเราไปพิมพ์สิ่งอื่นที่สามารถสร้างมูลค่าให้ได้มากกว่า เป็นการนำเอาความเชี่ยวชาญและแก่นของธุรกิจดั้งเดิมทั้งหมดมาประยุกต์ให้เกิดผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจใหม่ๆขึ้นมา การ Diversify หรือการแตกยอดไลน์ธุรกิจ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจ ซึ่งผู้บริหารเองอาจจะต้องมองหาโอกาสที่จะขยายไลน์สินค้าไป ถ้าเราหยุดแค่วันเดียวเราก็ตาย เพราะโลกตอนนี้มันแคบลงเรื่อยๆ ทุกคนมีมือถือ เขาสามารถเข้ามาเป็นคู่แข่งของคุณได้เพียงแค่ข้ามคืนเท่านั้นเอง”

โดยไฮไลท์สำคัญของบริษัทในการแตกไลน์ธุรกิจ นั่นคือ การพัฒนาเครื่องพิมพ์สีผสมอาหารลงบนสินค้าเบเกอรี่ (Bakery) ภายใต้แบรนด์ PimCake ถือเป็นหนึ่งในวิธีการที่จะตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มอื่นๆ ให้มากยิ่งขึ้น และยังเป็นการแสดงจุดยืนในการที่จะเป็นธุรกิจที่ตอบสนองทางด้านงานพิมพ์ได้อย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์ S&P (เอส แอนด์ พี) เป็นหนึ่งในลูกค้ารายสำคัญ

“ตลาดพิมพ์เบเกอรี่จริงๆ แล้วมันใหญ่กว่าตลาดพริ้นเตอร์ที่เราทำอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งมูลค่าตลาดเบเกอรี่เฉพาะแค่เค้กและขนมปังนั้นอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดเครื่องพิมพ์มีมูลค่าอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท แตกต่างกันถึง 3 เท่า เราอยู่ในวงการงานพิมพ์ ซึ่งวันนี้คนพิมพ์กันน้อยลง โดยสิ่งที่เขาจะพิมพ์นั้น จะเป็นสิ่งที่มีมูลค่าทางจิตใจ ทางเวลาและสมควรเก็บ เพราะฉะนั้น งานพิมพ์ของเราจะเป็นอะไรที่ต้องมีความจำเป็นแล้วเท่านั้น แล้วเราก็ดีใจที่ได้เจอตลาดที่อาหารสามารถพิมพ์ได้ นับเป็นการสร้างโอกาสธุรกิจให้มีมากขึ้น”

เปิดเคล็ดลับการปรับตัวแบบ SME

พร้อมกันนี้ คุณพันธ์ภูวดล ยังเผยถึงเคล็ดลับของการปรับตัวว่า สิ่งสำคัญคือ คิดได้ต้องลงมือทำทันที ไม่ต้องรอให้เสร็จและสมบูรณ์แบบทุกอย่างก่อนถึงจะลงมือทำ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้ก็ได้ถูกปลูกฝังให้กับพนักงานด้วย จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปในที่สุด

“ศิลปะอย่างหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องเรียนรู้คือ นิสัยและพฤติกรรมของคนในองค์กร บริษัทของเราอาจจะโชคดีที่ถูกปลูกฝังให้ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่บ่อยมากและลงมือทำเร็วมาก เลยกลายเป็นวัฒนธรรมในองค์กรไปแล้ว ที่พนักงานจะต้องเรียนรู้สินค้าใหม่เดือนถัดไป พนักงานฝ่ายเทรนนิ่งมีหน้าที่เอาองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ได้มาไปแจกจ่ายให้กับหน้าร้าน หน้าร้านจะมีผู้จัดการที่คอยรับเรื่องและจ่ายต่อให้กับพนักงานในร้าน การเทรนนิ่งคน อาจฟังดูง่าย แต่เป็นอะไรที่ปวดหัวมากที่สุด ในฐานะของผู้นำองค์กรเราจะต้องหาวิธีพัฒนาบุคลากรของเราอยู่เสมอ เช่น ทางบริษัทจะทำการอัดคลิปถ่ายอธิบายถึงสินค้าใหม่ๆ ว่าเป็นอย่างไร ราคาเท่าไร และต้องขายอย่างไร ให้พนักงานล็อคอินเข้ามาดูแทนการเข้าประชุม ซึ่งสามารถดูตอนไหนก็ได้ที่พนักงานสะดวก”

“นอกจากนี้ ยังต้องปรับกรอบความคิดหรือ Mindset ให้กับบุคลากรในองค์กร เช่น พนักงานอิงค์แมนเป็นชุดเดียวกับที่ทำ PimCake ก็ต้องมีการปรับ Mindset ให้ใหม่ เพราะคนที่อยู่ในวงการไอที เขาจะคิดในเชิงของขั้นตอนเป็นหลัก พอมาเป็นธุรกิจเบเกอรี่ เขาต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้เก่งคอมพิวเตอร์ ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค และไม่มีความรู้เรื่อง Photoshop หรือ AI ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทาย เราจึงพัฒนาซอฟต์แวร์ชื่อว่า Photo Cake Designer Pro ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวช่วยให้กับผู้ประกอบการร้านเบเกอรี่หรือร้านกาแฟที่ทำกราฟฟิกไม่เป็น”

ถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่า การปรับตัวนั้นสำคัญแค่ไหน ยิ่งในยุคที่ทุกธุรกิจสามารถถูก Disruption ได้อย่างง่ายๆ ใครเปลี่ยนก่อน แก้เกมได้ทัน ชัยชนะและโอกาสความสำเร็จย่อมตกเป็นของคนนั้น

 

Published on 3 July 2019
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

บทความแนะนำ