Kaff &Co อัพเกรดแชมพูสมุนไพรไทย

Kaff & Co. เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะที่ถือกำเนิดมาจากสาเหตุที่สามีของ คุณเดือน เดือนสว่าง คุณาพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนเจอร์ อินสปาย จำกัด ป่วยเป็นโรค SLE หรือโรคภูมิแพ้ตัวเอง ผลที่ตามมาก็คือ เส้นผมไม่แข็งแรงและผมร่วงอย่างหนัก คุณเดือนพยายามหาทางรักษาด้วยวิธีแพทย์แผนปัจจุบันแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น จนวันหนึ่งได้มีโอกาสได้ทดลองใช้แชมพูน้ำมันมะกรูดสกัดเย็นและมีอาการที่ดีขึ้นมาก จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเดือนอยากจะผลิตแชมพูมะกรูดสกัดเย็นจำหน่ายเพื่อส่งต่อความสุขที่ได้รับ

จากวันนั้นถึงวันนี้ Kaff & Co. ยังทำหน้าที่ส่งต่อความสุขให้กับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะและผมร่วงตามที่ Brand Purpose คุณเดือนตั้งใจไว้

SME One : ธุรกิจของ Kaff & Co. เกิดขึ้นมาได้อย่างไร 

เดือนสว่าง : ตอนที่เริ่มต้นทำ เดือนเป็น Interior Design มาก่อน แต่สามีมีโรคประจำตัวเป็น SLE (โรคแพ้ภูมิตัวเอง) เขาเป็นมานานแล้ว ซึ่งปัญหาหนึ่งของโรคนี้ผลข้างเคียง คือทำให้ผมร่วง แล้วที่ผ่านมาเราจะใช้แชมพูยาบ้าง รักษาตามอาการ ผมร่วงก็ใช้ยาผมร่วง คันศีรษะก็ใช้แชมพูขจัดรังแค จนวันนึงมีคนแนะนำให้ลองใช้สมุนไพรดูเพราะใช้ยามามากแล้ว ก็มีคนทำแชมพูน้ำมันมะกรูดแบบตีเองที่บ้านเป็นแบบแชมพูน้ำมันมะกรูดสกัดเย็น ตอนแรกก็ยังไม่กล้าใช้ วางทิ้งไว้อยู่พักใหญ่ แล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียก็เลยลองใช้ดู แต่พอลองใช้ไป 3 เดือน สิ่งที่เห็นได้ชัดเลย ก็คือ อาการต่างๆ ค่อยๆ ดีขึ้น หนังศีรษะเริ่มแข็งแรงขึ้น ผมใหม่เกิดขึ้นมากกว่าปกติชนิดเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ในขณะที่ยาก็ยังกิน โรคก็ยังเป็นอยู่ 

ตั้งแต่วันนั้นก็เลยเริ่มคุยกับเพื่อนว่ามีใครใช้สมุนไพรบ้าง ปรากฏว่าการใช้สมุนไพรของคนรอบตัวจะใช้เป็นการรักษา ไม่ได้ใช้จริงจัง แต่บางคนกลับไปนิยมใช้ของจากญี่ปุ่น หรือเกาหลี ก็เลยจับจุดได้ว่าสมุนไพรไทยจริงๆ แล้วดี แต่อาจจะเป็นเพราะรูปลักษณ์หรือการเข้าถึงมันไม่ตอบโจทย์ จึงเริ่มคิดการใหญ่ว่าถ้าเราจะทำผลิตภัณฑ์ที่เราใช้แล้วเราก็รู้ว่ามันดีจริงๆ แต่ถ้าจะทำให้ดีขึ้นและสร้างความน่าเชื่อถือจะต้องทำอย่างไร ก็เลยเป็นโจทย์ตั้งต้นของการทำแชมพูและทรีทเมนท์ 

โชคดีที่คุณป้าเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วที่นั่นมีคณะเภสัช ภาควิชาสมุนไพรไทยจึงทำจดหมายเข้าไปขอพัฒนาผลิตภัณฑ์สูตรแชมพู อาจารย์ก็แนะนำว่าถ้าจะให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน แชมพูจะอยู่บนหนังศีรษะของเราสั้นมาก หน้าที่หลักของแชมพู คือทำความสะอาด ปรับสมดุล และไม่สร้างความระคายเคือง แต่ถ้าจะหวังผลลัพธ์ในเรื่องของการรักษารังแค ผมหลุดร่วง หรือการเสริมสร้างรากผมให้แข็งแรงจะต้องเป็นพวกเซรั่มบำรุงผมหรือทรีทเม้นท์ จะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนกว่า จึงเป็นที่มาของการทำผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะแชมพูน้ำมันมะกรูดสกัดเย็น กับทรีทเม้นท์น้ำมันมะกรูดสกัดเย็น

ตอนที่เริ่มคิดวางแผนไว้ว่า Kaff & Co. จะต้องดูทันสมัย คือทุกผลิตภัณฑ์จะใช้สมุนไพรไทยเป็นหัวใจ แต่การนำเสนอจะใช้การนำเสนอให้ดูฝรั่งขึ้น หยิบมาแล้วดูสวย แล้วก็ต้องเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนมากยิ่งขึ้น นี่ก็คือจุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์  

 

SME One : ชื่อ Kaff & Co. มาจากอะไร 

เดือนสว่าง : เดือนเคยเข้าคอร์สอบรมของ สสว. เขาสอนว่าชื่อที่ดีจะใช้ชื่ออะไรก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน 3 พยางค์ จะทำให้คนจำได้ แต่เดิมใช้ชื่อบริษัท คือ Nature lime แต่จดลิขสิทธิ์ไม่ได้ ตอนที่ทำก็คิดว่าทำทุกอย่างถูกต้อง จดทะเบียนทำอะไรครบถ้วนหมด แต่สิ่งที่เราจดทะเบียนไม่ได้คือ Trademark เพราะคำว่า Nature lime ไป Relate ตัวผลิตภัณฑ์ ก็เลยต้องเปลี่ยนชื่อ ชื่อ Kaff มาจาก Kaffir lime และ and Co ก็คือ and others หมายถึงสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย จุดเริ่มต้นคือ Kaffir lime แล้วจะมีสิ่งอื่นๆ ตามมาอีกมากมายที่เป็นในกลุ่มก้อนเดียวกัน 

 

SME One : นับจากวันที่เข้าไปขอคำปรึกษากับทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใช้เวลานานเท่าใด 

เดือนสว่าง : ประมาณปีครึ่ง เริ่มต้นเข้าไปช่วงปี 2014 เราตั้งใจจะไม่ทำแบบโรงงานเล็กๆ เหมือนครีมกวน เราตั้งใจจะจดทะเบียนอย่างถูกต้อง โรงงานต้องได้มาตรฐาน ดังนั้นพอขึ้น Big Scale ก็เลยใช้เวลาปรับอยู่นานเหมือนกันที่จะให้สเกลการผลิตขนาดใหญ่กับอะไรที่ทำในแล็ปเล็กๆ เข้ากัน เราทดลองสูตรน่าจะเกิน 15 สูตร เราทดลองใช้เอง บางตัวเปลี่ยนน้ำจากที่หนึ่งเป็นอีกที่หนึ่ง น้ำต่างกันความหนืดก็ต่างกัน ค่า pH ต่างกัน หรือสารที่ใช้ในแล็บ พอเปลี่ยนโรงงานแต่ละโรงงานก็มีมาตรฐานของเขาทำให้ปริมาณแตกต่างกัน เราใช้เวลาทดลองและปรับปรุงเป็นปีกว่าที่ทุกอย่างจะนิ่ง กว่าเราจะพอใจแล้วจึงเริ่มนำมาวางขาย 

SME One : ในส่วนของวัตถุดิบ เราหามาจากแหล่งไหนบ้าง

เดือนสว่าง : เราไม่ได้ดีลกับเกษตรกรโดยตรง แต่ดีลกับโรงงานแปรรูปอีกที โดยจะใช้วิธีการจองล่วงหน้า ต้องอธิบายว่าน้ำมันมะกรูดเป็นการบีบเย็นจากผิว ดังนั้นการได้มาของสัดส่วนน้ำมันจะน้อยมาก เช่น มะกรูดปริมาณ 1 ตันจะสกัดเป็นน้ำมันมะกรูดได้แค่ 1 ลิตร เราจึงจำเป็นต้องจองล่วงหน้ากับคนที่มีเครือข่าย ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นปี แล้วในส่วนของน้ำมันมะกรูดจะต้องมีการตรวจโลหะหนักอยู่แล้วทุกครั้งที่ผลิต

 

SME One : ช่วงเริ่มต้นธุรกิจเจอปัญหาอะไรบ้าง   

เดือนสว่าง : ช่วงเริ่มต้นการวางร้านค้าเป็นปัญหาใหญ่ ด้วยความที่เราไม่มี Connection การส่งสินค้าไปวางตามร้านจึงค่อนข้างเป็นปัญหา ตอนนั้นไม่ได้มีโลจิสติกส์เยอะเหมือนปัจจุบัน เมื่อก่อนจะมีแค่ Kerry เวลาขนส่งกระจายสินค้าก็จะต้องใช้ Kerry หรือแมสเซนเจอร์ไป แล้วถ้าวางสินค้าในร้านที่ใหญ่ๆ ก็จะมีระเบียบในเรื่องของการวางบิล ซึ่งเราเป็นรายเล็กที่เข้ามาใหม่ เราจะไม่ค่อยรู้ระเบียบมากนัก ที่สำคัญสินค้าเราเป็นแชมพูและทรีทเม้นท์ การสื่อสารกับลูกค้าว่ามันดีอย่างไร ใช้อย่างไร มันไม่เหมือนครีมทั่วไป อาจจะเป็นเพราะคนจะรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องหนังศีรษะและเส้นผมมากกว่า  การบอกเล่าในช่วงแรกให้คนทดลองใช้จึงยากมาก 

ช่วงแรกเราพยายามไปออกบูธ Flea Market บ่อยๆ ให้ลูกค้าได้จับต้องสินค้า ตอนนั้นจะมี Flea Market ที่ K Village แล้วก็พวกตลาดนัดสุขภาพ ใครบอกว่ามีตลาดนัดตรงไหน เราก็พยายามไปวางขายให้คนมองเห็น ให้เขาผ่านตาและรับรู้ว่าเรามีตัวตนจริงๆ แล้วก็เริ่มมีไปวางที่ร้านสินค้าสุขภาพบ้าง แต่โดยส่วนตัวคิดว่าการดูแลสุขภาพที่ดีจะต้องมาพร้อมกับการบอกเล่าเกี่ยวกับการดูแลเพิ่มเติม ช่วงแรกก็เลยจะเน้นไปขายเอง บอกเล่าเอง เพื่อที่จะได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีกับลูกค้า 

ต่อมาเรามีโอกาสได้คุยกับทางบูรพาโอสถที่มีบริษัทย่อยที่จัดจำหน่ายสินค้าสุขภาพด้วย มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งเราก็มีจดหมายซัพพอร์ตจากอาจารย์มหาวิทยาลัย ทางบูรพาโอสถก็เลยยินดีที่จะวางสินค้าของเรา และส่งกระจายตามร้านสินค้าสุขภาพในเครือให้ พอได้วางในร้านขายยา คนที่บอกเล่าก็จะเป็นเภสัชกรที่มีความรู้ก็ช่วยให้สินค้าของเรามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น พอเราเข้าไปในกลุ่มร้านขายยา ความโชคดีอีกอย่างหนึ่งก็คือด้วยความที่ผลิตภัณฑ์เรามันตอบโจทย์กว้างๆ ทำให้ Kaff & Co. มีลูกค้าตั้งแต่เด็กผู้หญิง 4-5 ขวบที่ถักเปีย หรือแม้แต่เด็กผู้ชายเตะบอลหัวเหม็น พ่อแม่เลยซื้อให้ใช้ จนกลายเป็นสินค้าที่อยู่ในบ้านของทุกคน ทำให้เราอยู่ได้นานไม่ได้ไปตามยุคสมัย ถึงแม้ว่ายอดขายจะช้ากว่าไม่เร็วเหมือนไฮเปอร์มาร์เก็ต แต่ความน่าเชื่อถือมีมากกว่า Kaff & Co. ก็ขายผ่านช่องทางร้านขายยาต่อจากร้านสุขภาพ ก่อนที่จะมาเริ่มขายผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง และขายผ่าน Shopee, Lazada และเว็บไซต์สินค้าสุขภาพทั่วไป

 

SME One : คิดจะขายผ่านช่องทางร้านขายยาใหญ่ๆ ที่เป็น Chain Store เช่นร้าน Boots, Watson หรือไม่

เดือนสว่าง : เรายังไม่ได้เข้า Chain Store เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้มี Background การทำธุรกิจมาก่อน ถ้าเราจะตั้งราคาให้เข้าร้าน Boots หรือ Watson ได้ เราต้องบวกราคาไปมากกว่านี้ ทุกวันนี้เราไม่ได้ตั้งราคาให้สูง คนเลยจับต้องได้ เราไม่อยากให้คนรู้สึกว่าแชมพูที่ดี ทำไมต้องขายแพง เราอยากให้คนทั่วไปใช้ได้และใช้ได้นาน การที่เราไม่ได้เข้า Chain Store ในวันนั้น ทำให้เราตรึงราคาขายได้แบบนี้โดยที่เราไม่ต้องกระทบกับลูกค้ามาก ก็เลยกลายเป็นเรื่องดีที่เราไม่ได้เข้า Chain Store

 

SME One : สินค้าของ Kaff & Co. ในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักคือใคร

เดือนสว่าง : เป็นกลุ่มคนเมืองประมาณ 70% รวมสมุย เชียงใหม่ พัทยา และหัวเมืองใหญ่เป็นหลัก ที่น่าสนใจคือ เรามีลูกค้าผู้ชายถึง 30% ที่เป็น Royalty เรามีระบบ Membership ในเว็บไซต์ มีระบบฐานลูกค้า ลูกค้าผู้ชายที่สั่งซื้อเองเยอะมาก ขนาดเอเจนซียังแปลกใจ เพราะปกติผู้ชายจะไม่ค่อยสั่งอะไรพวกนี้ แล้วเขาเป็นกลุ่ม Loyalty เวลาเขาใช้แล้วเขาจะไม่ค่อยเปลี่ยน นอกจากที่บ้านจะบอกให้เปลี่ยนหรือมีใครมาแนะนำอะไรเพิ่มเติม 

 

SME One : สินค้าของ Kaff & Co. เริ่มด้วยตัวหลักคือมะกรูด มาจนถึงปัจจุบันมีการแตกไลน์สินค้าเป็นอะไรบ้าง

เดือนสว่าง : ตอนนี้มีสารสกัดเหง้าขิง คือเราทำมะกรูดสกัดเย็นมาพักหนึ่ง มะกรูดจะมีความมันระดับนึงที่ผิวมะกรูด ลูกค้าผู้ชายที่หนังศีรษะมันเขาใช้แล้วก็รู้สึกว่าหนังศีรษะยังคงมันอยู่ก็อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ เราจึงใช้สารสกัดจากเหง้าขิง ซึ่งตัวที่ลดความมันในแชมพูก็คือมะคำดีควายที่ช่วยให้หนังศีรษะแห้งโดยตรง และทรีทเมนต์ที่ดูแลเรื่องปัญหาผมร่วง ในขณะเดียวกันก็ช่วยเรื่องการไหลเวียน และช่วยเรื่องผมหงอก

จากนั้นก็เพิ่มไลน์สินค้ามาเป็นครีมนวด และมีการเพิ่มสินค้ากลุ่ม Accessory เช่น หวี ผ้าเช็ดผม และในเดือนหน้า Kaff & Co. จะเพิ่มสินค้าในกลุ่ม Body Care คือ สบู่เหลว สบู่ก้อน 

ที่เราตัดสินใจมาทำ Body Care ก็เพราะว่าลูกค้าประจำจะเข้ามาถามเสมอว่ามีสบู่ด้วยไหม เดือนเคยทำ Collaboration กับแบรนด์ ELEPH ที่ขายพวกกระเป๋าให้กับลูกค้าต่างชาติ ทางแบรนด์ ELEPH ให้เราผลิตสบู่ให้ ตั้งต้นสูตรสบู่ให้เป็นโปรเจคสั้นๆ ทำแค่ 1 ปี แต่สบู่ของเราขายดีมากลูกค้าจะสั่งด้วยตลอด เราก็เลยเห็นโอกาสตรงนี้ว่าลูกค้าคงรู้สึกเชื่อใจและไว้ใจในผลิตภัณฑ์ของเราอยู่แล้ว ก็เลยทำสินค้ากลุ่ม Body Care คือสบู่เพิ่ม โดยมีทั้งสบู่ก้อนสบู่เหลว เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของเราที่มีปัญหาผิว ผื่นแพ้ง่าย 

 

SME One : สินค้ากลุ่ม Body Care ใช้อะไรเป็นวัตถุดิบตั้งต้น

เดือนสว่าง : ใช้ดอกคำฝอยเป็นวัตถุดิบตั้งต้น เพราะสบู่จะต้องตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีผดผื่นแพ้ง่าย เราพยายามหาว่าสมุนไพรอะไรที่จะดูแลผิวได้ดี อย่างน้อยคุณสมบัติหลักๆ ของผลิตภัณฑ์ คือต้องใช้แล้วไม่เกิดการระคายเคืองเพิ่ม เพราะสบู่มันอยู่กับตัวเราสั้นมาก ก็เลยได้มาเป็นดอกคำฝอยซึ่งมีคุณสมบัติในการดูแลปลอบประโลมผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยดูแลเรื่องการอักเสบของผิว นอกจากนี้เรายังใส่ใบบัวบกที่ช่วยสมานผิว เข้าไปด้วย เพื่อเน้นเรื่องความชุ่มชื้น เพราะถ้าผิวของเราชุ่มชื้นก็จะช่วยปกป้องไม่ให้ระคายเคืองได้ง่าย ในสูตรจะมีว่านหางจระเข้ ดอกเกลือ และอะไรที่เสริมคุณสมบัติ

 

SME One : ช่วงที่เกิดปัญหา COVID-19 Kaff & Co. ได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่

เดือนสว่าง : COVID-19 ในแง่ของยอดขายออนไลน์ไม่กระทบ จะมีกระทบบ้างในยอดขายฝั่งร้านค้ามากกว่า เพราะอย่างที่บอกว่าเราโชคดีที่เราวางแผนไว้ก่อนว่าจะขายออนไลน์ ทุกวันนี้คนยังซื้อผักสดออนไลน์เลย แล้วทำไมแชมพูเขาจะไม่ซื้อออนไลน์ โชคดีที่ตอนนั้นเราเคยเข้าไปคุยกับห้างสรรพสินค้า ซึ่งในแง่ของ GP คือยากมากและค่าใช้จ่ายสูงมาก เราก็เลยมาตั้งต้นทำเว็บไซต์ของเราให้เป็นร้านค้าตั้งแต่ตอนนั้น ให้ COVID-19 ตลอด 2 ปีนี้ เราไม่กระทบในส่วนของออนไลน์เลย ตรงกันข้ามในช่วงแรกๆ ยอดขายของเราสูงขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทำการตลาดออนไลน์ที่ขายผ่านเว็บไซต์

 

SME One : Kaff & Co. มีส่งออกไปต่างประเทศบ้างหรือไม่

เดือนสว่าง : มีในลักษณะของร้านเล็กๆ ไม่ได้เป็นพาร์ทเนอร์ใหญ่ ก็จะมีคนไทยที่เป็นลูกค้าของเราเป็น Partner เขาตั้งหน้าร้านใน Amazon ของเขาเลยเป็น amazon.com/Kaff & Co ที่อเมริกาและแคนาดา โดยทำมา 4 ปีแล้ว ซึ่งก็มียอดซื้อเข้ามาต่อเนื่อง แล้วก็มีขายในประเทศเมียนม่าร์ คนที่ติดต่อไปขายเป็นเจ้าของร้านขายยาในจังหวัดกำแพงเพชร แล้วเขามีเครือข่ายที่เมียนมาร์ก็เลยส่งไปขายที่นั่น นอกจากนี้ก็ยังมีที่อินโดนีเซีย หลวงพระบาง ฮ่องกง และรัสเซีย 

 

SME One : วางแผนที่จะต่อยอดธุรกิจไว้อย่างไร

เดือนสว่าง : เป้าหมายในระยะยาวของเรา คืออยากมีผลิตภัณฑ์ที่ดูแลเรื่องปัญหาผิวและสุขภาพให้ครบไลน์ เราก็ทำร่วมกับ สสว. มาหลายโครงการ ก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่ตั้งต้นสูตรแล้วหลายตำรับเลย เช่น เจลดูแลหนังศีรษะ เราอยากจะมีผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ปัญหาของลูกค้าที่มีมากขึ้น ทั้งหนังศีรษะและผิวหนัง แต่เราจะมุ่งเน้นที่การดูแลปัญหามากกว่าความสวยงาม และที่สำคัญคือ เราต้องใช้งานออกแบบมาสร้างความแตกต่างให้สินค้าเราอยู่ในไลฟ์สไตล์ของคน

 

SME One : คิดว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จของ Kaff & Co. คืออะไร

เดือนสว่าง : คือความชัดเจนของแบรนด์ รูปลักษณ์ที่แตกต่าง และความชัดเจนในการนำเสนอ เดือนคิดว่าผลิตภัณฑ์ของเราชัดเจนว่าเรานำเสนอให้ใคร และตอบโจทย์ใคร เพื่ออะไร เราไม่ได้ทำอะไรที่ตอบโจทย์ทุกอย่าง เรา Target กลุ่มคนที่มีปัญหาเรื่องหนังศีรษะอย่างเดียวในจุดแรก ทำให้คนรับรู้ได้ว่าถ้ามีปัญหาหนังศรีษะให้ลอง Kaff & Co. ส่วนเรื่องรูปลักษณ์ เราก็คิดว่าไม่ซ้ำซ้อนกับคนอื่น Kaff & Co. มี visual ที่แตกต่าง ไม่เหมือนสินค้าที่มาจากเกาหลี ญี่ปุ่น เลยเป็นภาพจำที่ทำให้คนจำได้ แล้ว Message ที่เราส่งซ้ำๆ ในเรื่องของความตั้งใจ เรื่องของ Product Knowledge ที่ทำให้เรามีจุดยืนที่แข็งแรง

ช่วงแรกๆ ที่เราวางขาย มีลูกค้าส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากฝรั่งหรือนำเข้าด้วยซ้ำไป องค์ประกอบสำคัญอีกตัวคือ Corporate Identity (CI) ที่ทำให้เราดูแตกต่างจากแชมพูมะกรูดทั่วไป เพราะคนจะจำได้ว่าภาพมะกรูดบนกล่องของเราเป็น Drawing เราใช้ความเป็น Craft ในเรื่องของ Artwork และโทนสี เราชัดเจนและตอกย้ำซ้ำๆ จนสร้างความจดจำได้ดี ตอนเราออกแบบบรรจุภัณฑ์ความยากของมะกรูด คือเป็นพืชที่ไม่ค่อยสวย แล้วถ่ายภาพยากมาก ด้วยรูปลักษณ์ที่เห็น แล้วส่วนตัวก็ชอบ Drawing จึงบรีฟทีมงานแต่แรกว่าอยากได้ภาพ Drawing แล้วสร้างเฟรมล้อมเพื่อนำสายตา จะได้ดูมีอะไรนิดนึงที่มีความเป็นคลาสสิก โบราณ เพื่อให้คนเข้าใจว่าเราพัฒนามาจากต้นตำรับยาโบราณ

 

SME One : อยากจะให้ช่วยให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการ SMEs ที่อาจจะอยากก้าวข้ามการเป็นสินค้า OTOP เหมือน Kaff & Co.

เดือนสว่าง : ต้องหาตัวตนให้เจอ อย่าเอารูปลักษณ์ที่ Success หรือการประสบความสำเร็จของคนอื่นมาเป็นของเราทั้งหมด เดือนคิดว่าถ้าเราหาตัวตนของเราเจอและนำเสนอออกไปในทิศทางที่มีตัวตนที่ชัดเจน คนจะจดจำเราได้  อีกอย่างหนึ่งที่ต้องมีคือ ความอดทน ความสำเร็จมันไม่ได้ขายดีตั้งแต่ 1-2 เดือนแรก มันมากับความตั้งใจ อดทน มุ่งมั่น ทำซ้ำๆ แล้วถ้าของดี รูปลักษณ์สวย แล้วมีความตั้งใจของเราประกอบกัน เดือนคิดว่ามันจะไปได้ดี เพราะตอนนี้เราเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายมาก ไม่ได้ยากเหมือนสมัยก่อน ดังนั้นความตั้งใจของเราจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าเห็นเราได้ชัดเลย ถ้าทำครบองค์ประกอบ 3 อย่างนี้ได้ ก็น่าจะไปได้ไกล 

 

บทสรุป

ความสำเร็จของ Kaff & Co. เริ่มมาจากการเห็นคุณค่าของสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติในการรักษาโรคได้ดีไม่แพ้ยาแผนปัจจุบัน เพียงแต่ Kaff & Co. ได้มีการผสมผสานความร่วมสมัยเข้าไปผ่าน Corporate Identity ที่ชัดเจนจนสามารถสลัดภาพสินค้า OTOP ทั่วไปได้ เมื่อความโดดเด่นของแบรนด์มารวมกับความชัดเจนในการนำเสนอผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่ตอบโจทย์คนมีปัญหาด้านหนังศีรษะตั้งแต่แรก ทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้และเกิดความมั่นใจในที่สุด

บทความแนะนำ

PARADai Crafted Chocolate & Cafe คราฟ ช็อกโกแลตสัญชาติไทยที่ดังไกลถึงต่างแดน

ยังจำประโยคจากภาพยนตร์ดังเรื่อง Forrest Gump ที่ว่า “Life is like a box of chocolates. You never know what you are going to get.” กันได้ไหม คำพูดนี้สื่อความหมายว่า คนเรามักจะไม่รู้โชคชะตาของตัวเองจนกว่าจะเปิดใจและลองใช้ชีวิตไปกับมัน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเส้นทางชีวิตของภูริชญ์ ฐานะวุฑฒ์ ที่วันหนึ่งชะตาชีวิตกำหนดให้เขาเดินมาเจอแรงบันดาลใจจากเมล็ดโกโก้ จนเป็นที่มาของการก่อตั้งโรงงานช็อกโกแลตเล็กๆ อย่าง PARADai Crafted Chocolate & Cafe เพื่อปรุงช็อกโกแลตแบบไทยๆ ให้คนทั่วโลกรู้จัก

SME One : แรงบันดาลในในการทำโรงงานช็อกโกแลต เริ่มต้นอย่างไร

ภูริชญ์ : ส่วนตัวเป็นคนชอบทานช็อกโกแลตอยู่แล้ว จุดเริ่มต้นมาจากมีโอกาสไปกิน Crafted Chocolate ในต่างประเทศ แล้วรู้สึกว่ารสชาติมันต่างกับช็อกโกแลตที่เรากินจากที่ขายตามห้างจนรู้สึกประทับใจ เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ชักชวนให้กลับไปเปิดร้าน Crafted Chocolate เพราะที่ประเทศไทยยังไม่ค่อยมี กลับมาก็ลองคิดลองศึกษาอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจซื้อเครื่องมาทดลองทำ 

ทดลองทำอยู่เกือบ 2 ปี ก็พบว่าก็เมืองไทยมีปลูกโกโก้อยู่หลายจังหวัด ก็เริ่มทดลองเอาเมล็ดโกโก้ไทยมาทำดู ทดลองไปดูที่จันทบุรี ไปดูที่นครศรีธรรมราช เพราะว่าที่นครศรีธรรมราชเกษตรเขาปลูกโกโก้มานานแล้ว และบางส่วนก็โค่นทิ้งไปซะเยอะตอนที่ลงพื้นที่ จึงทดลองซื้อผลโกโก้จากสวนชาวบ้านมาหมักเอง เพราะเคยลองซื้อจากที่ชาวสวนหมักสำเร็จมาแล้วรู้สึกว่ารสชาติไม่ค่อยดี

ช่วงทดลองก็พยายามหาข้อมูลจากต่างประเทศว่าใช้เมล็ดโกโก้พันธุ์ไหนมาทำ Crafted Chocolate แล้วก็ลองสั่งจากอินเทอร์เน็ตมาทดลอง เพราะตอนนั้นในไทยยังไม่มีใครสอนทำ คือแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับ Crafted Chocolate เลย

 

SME One : พอทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจนเป็นโรงงานขึ้นมา ชื่อ PARADAi มาจากอะไร

ภูริชญ์ : PARADAi มาจากชื่อของหุ้นส่วนที่เป็นคนนครศรีธรรมราช ชื่อจริงเขาคือ นายภราดัย ซึ่งมีความหมายว่าเพื่อนพวกพ้อง ความหมายดี มันเหมือนผมกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และชื่อก็มีความเป็นไทย เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็อ่านไม่ยาก

SME One : มองตลาด Crafted Chocolate ในประเทศไทยเป็นอย่างไร

ภูริชญ์ : ตอนเราเริ่มศึกษาในอเมริกาพบว่ามีร้านลักษณะนี้มาประมาณเกือบ 20 ปีแล้ว ถ้าเป็น Crafted Chocolate ที่แรกแถว ๆ Mexico ก็ประมาณ 20 ปี พอ ๆ กับอเมริกา เราจึงมองว่าทำไมที่อเมริการ้าน Crafted Chocolate เติบโตมาก ญี่ปุ่นก็โต ต่างประเทศก็โต เรามองว่าร้านกาแฟเมืองไทยก็พัฒนาไป Specialty Coffee แล้ว ร้านชานำเข้าที่มีเรื่องเล่าก็เห็นเยอะแล้ว เลยรู้สึกว่า Crafted Chocolate ต้องเกิดได้

 

SME One : จากที่เล่ามา PARADai Crafted Chocolate & Cafe ให้ความสำคัญกับแหล่งปลูกค่อนข้างมาก

ภูริชญ์ : แหล่งปลูกของเรา เราตั้งใจแต่แรกว่าจะดีลกับเกษตรกรตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เราซื้อจากเกษตรกร แล้วมาหมักเอง เพราะต้องควบคุมคุณภาพตั้งแต่การหมัก เราต้องการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนจึงรู้สึกว่าการซื้อผ่านพ่อค้าคนกลางอาจจะเจอสินค้าคุณภาพไม่ดี แล้วราคามันจะไปอยู่ที่พ่อค้าคนกลาง ตอนที่เราเริ่มทำราคาโกโก้สดอยู่ที่กิโลกรัมละ 6 บาท เราก็ซื้อในที่ราคาสูงกว่า

ตอนนี้วัตถุดิบเรายังไปไม่ถึงขั้น Organic เพราะเกษตรยังไม่ได้เรียนรู้ว่าปลูกอย่างไร ดูแลอย่างไร การเปลี่ยนมาทำ Organic เป็นเรื่องที่ยากมาก เรื่องนี้เป็นเทรนด์ของโลกก็จริง แต่ด้วยโครงสร้างราคาของสินค้าที่เป็น Organic ราคาจะสูงขึ้น แต่ว่าผู้บริโภคทุกคนไม่ได้มีกำลังซื้อพอที่จะต้องจ่ายตรงนั้น

 

SME One : ออกมาเป็น SMEs ช่วงแรก ๆ เจอปัญหา หรืออุปสรรคอะไรบ้าง

ภูริชญ์ : เปิดร้านช่วงแรก ๆ ก่อนที่จะเราจะส่งประกวดและได้รับรางวัล 3 เดือนแรก คือแทบไม่มีลูกค้าเข้าเลย เดือนหนึ่งขายได้ไม่ถึง 8,000 บาท แต่พอเราส่งช็อกโกแลตไปประกวดในเวทีระดับโลก* แล้วได้รางวัลกลับมาก็เริ่มมีสื่อมาสัมภาษณ์ PARADai Crafted Chocolate & Cafe ก็เริ่มมีคนรู้จัก เริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้น มีคนบอกต่อกันมากขึ้น

การทำธุรกิจร้านอาหาร ผมเชื่อเรื่องการบอกต่อๆ กันโดยผู้บริโภคเอง ถ้าเราโฆษณาอย่างเดียว หรือต้องจ่ายเงินไปจ้าง Blogger จะเพิ่มต้นทุน เพราะค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านก็สูงแล้ว เราเลยไม่ได้ใช้วิธีนั้น 

(*PARADai Crafted Chocolate & Cafe ชนะการประกวด International Chocolate Awards 2018 ประเภทช็อกโกแลตนมที่มีสัดส่วนเปอร์เซ็นต์โกโก้เกิน 50% ที่ผลิตด้วยโกโก้จากแหล่งเดียว (Plain/Origin Dark Milk Chocolate Bars) สำหรับโกโก้จากประเทศเบลีซ 63% ได้รางวัลระดับเหรียญเงิน และโกโก้จากนครศรีธรรมราช 58% ได้รางวัลระดับเหรียญทองแดง และระดับเวทีโลก ได้เหรียญเงินสำหรับโกโก้จากนครศรีธรรมราช และคว้ารางวัลพิเศษเป็นรางวัลเหรียญทองสำหรับ “ช็อกโกแลตจากประเทศที่ปลูกเอง” หรือ Growing Country)

 

SME One : คิดว่าเสน่ห์ของ Crafted Chocolate คืออะไร

ภูริชญ์ : ต้องอธิบายก่อนว่าช็อกโกแลตในอุตสาหกรรมที่เรากินในห้าง ปกติจะเป็นช็อกโกแลตที่หมักมาไม่ดี แล้วจะมีกลิ่นที่ไม่ดีอยู่เพราะต้องคั่วค่อนข้างลึกเพื่อกลบกลิ่น เสร็จแล้วก็จะเอามาแต่งกลิ่นวานิลลาใส่เข้าไป ใส่ไขมันพืชตัวอื่นที่ไม่ใช่ไขมันโกโก้เข้าไป หรืออาจจะใส่ผงโกโก้เพื่อไม่ให้มีรสเปรี้ยวจะได้กินง่าย แต่พอมาเป็น Crafted Chocolate กรรมวิธีการผลิตจะไม่มีการแต่งกลิ่นสังเคราะห์ จะมีก็จะมีแบบใส่ฝักวานิลลาธรรมชาติทั่วไป ไม่มีการใส่ไขมันพืชอย่างอื่นผสมเข้าไป จะใส่ไขมันโกโก้อย่างเดียวทำให้มีรสชาติดีกว่า ส่วน Flavour ก็จะมาจากการหมัก เราก็ต้อง Control คุณภาพการหมักให้ดีเพื่อให้ได้ Flavour ที่ดี

พอคนทั่วไปมาได้มาลองกินนี่จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง แต่เรื่องความชอบก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าชอบช็อกโกแลตแบบขม ช็อกโกแลตแบบมีกลิ่นวานิลลา หรือว่าชอบช็อกโกแลตแบบมีไขมัน ถ้าเป็น Crafted Chocolate ก็จะมีหลากหลาย มีทั้งรสแบบถั่ว มีความเปรี้ยว มีแบบกลิ่นไวน์ แบบรสผลไม้

ถ้าถามว่าคนไทยชอบกินช็อกโกแลตแบบไหน ส่วนใหญ่ก็ยังติดช็อกโกแลตนมอยู่ แต่ถ้าเป็นโซนคนแบบในกรุงเทพ หรือคนรักษาสุขภาพหน่อยก็จะเป็น Dark Chocolate

 

SME One : กลุ่มเป้าหมายหลักของร้าน PARADai Crafted Chocolate & Cafe คือใคร

ภูริชญ์ : ตอนแรกที่เราวางไว้หลักๆ จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือกลุ่มเด็ก แต่ปรากฏว่าลูกค้าจริง ๆ กลับกลายเป็นคนไทยเกือบ 98-99% แล้วก็จะเป็นแบบกลุ่มคนทำงานเป็นส่วนใหญ่ประมาน 90% ข้อดีคือคนกลุ่มนี้มีกำลังซื้อ ถ้าเป็นกลุ่มเด็กก็จะมองว่าราคาสูงนาน ๆ ถึงจะมาซื้อไปชิ้นสองชิ้น เพราะต้องเจียดค่าขนมออกมา ซึ่งเราก็เข้าใจ

 

SME One : อยากให้อธิบายแนวคิดการทำช็อกโกแล็ตที่มีความเป็นไทย

ภูริชญ์ : ตอนแรกเราทำ Concept ของ Product เราต้องการช็อกโกแลตแบบสื่อความเป็นไทยในทุกอย่าง หมายความว่าแพ็กเกจก็ต้องมีลักษณะแบบของไทย เหมือนเวลาเราไปต่างประเทศ เราจะเห็นวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น หรือยุโรปก็จะมีแพ็กเกจที่สื่อเป็นลายแบบลักษณะของชาติเขา แพ็กเกจของเราก็เลยสื่อเรื่องราวของรามเกียรติ์ ส่วนตัวช็อกโกแลตตอนที่ขึ้นรูป เราไม่ได้อยากขึ้นแบบชื่อร้านอย่างเดียว แต่เราอยากมีลายกนกเข้าไป ให้มีความเป็นไทย มีเอกลักษณ์พอเปิดมาก็ประทับใจ 

ส่วนรสชาติตัวเมล็ดโกโก้ เราก็เน้นเมล็ดไทยที่เราปรับให้มีคุณภาพออกมา เรามีทำ Chocolate Bon Bon ที่เป็นช็อกโกแลตสอดไส้ เราก็จะเอารสชาติแบบไทย ๆ หรือตะวันออกใส่เข้าไปในช็อกโกแลต เพราะว่าเรามักจะเห็นช็อกโกแลตทั่วไป จะนิยมใส่ถั่ว ใส่สตรอเบอร์รี่อะไรแบบนี้ เรามองว่าน่าจะมีรสเขียวหวาน รสต้มยำ รสอะไรที่มีความเป็นไทยเข้าไป

 

SME One : สินค้าที่ขายดีของเราตอนนี้คืออะไร

ภูริชญ์ :  ตอนนี้จะเป็น Dark Chocolate 75% นครศรีธรรมราช แล้วมี Chocolate Bon Bon ส้มฉุน Chocolate Bon Bon เมี่ยงคำ จริง ๆ เรามีช็อกโกแลตรสชาติแบบไทยหลายรส แต่บางตัวผู้บริโภคก็จะมี Question เช่น Chocolate Bon Bon เมี่ยงคำ เราก็จะผสมมะพร้าว มะนาว และพืขสมุนไพรเข้าไป

ส่วนสินค้า Seasoning เรามีทำในช่วงเทศกาลปีใหม่ วาเลนไทน์ แล้วก็วันแม่ เราทำมา 2 ปีแล้ว ถ้าเป็นช่วงวันวาเลนไทน์ก็จะมีลูกค้าผู้ชายโทรมาสั่งกับที่ร้านให้เราไปส่งให้แฟน แล้วก็จะฝากเราเขียนการ์ด ถ้าเป็นช่วงปีใหม่ก็จะเป็นลูกค้าบริษัทสั่งไปแจกพนักงานในออฟฟิศ หรือไม่ก็สั่งสินค้าแบบ Custom พิเศษไปเลย

 

SME One : PARADai Crafted Chocolate & Cafe วางแผนธุรกิจไว้อย่างไร

ภูริชญ์ : พอเราเปิดร้านได้เกือบปีจนถึงช่วงได้รางวัล ก็มีห้างสรรพสินค้าติดต่อให้เราไปเปิดสาขา แต่ตอนแรกเราก็ไม่มั่นใจ ทางห้างฯ ก็ให้ลองเปิดบูธแบบ Pop-up Store ที่หน้าซูเปอร์มาร์เก็ตในสยาม พารากอน แล้วทางเซ็นทรัลก็ชวนไปเปิดที่ Food Hall แบบเป็น Event เราก็ไปลองดูเพราะอยากรู้ว่าลูกค้าเป็นอย่างไร เพราะตอนนั้นเรายังใหม่มากไม่มีคนรู้จัก และพอดีเราไปเจอว่าหอศิลป์กรุงเทพประกาศให้เช่าพื้นที่เราก็สนใจ แม้จะแพงกว่าเช่าห้าง แต่รวมๆ แล้วเราได้พื้นที่มากกว่า

PARADai Crafted Chocolate & Cafe ที่หอศิลป์กรุงเทพก็ขายดี เพราะส่วนใหญ่คนที่เดินหอศิลป์จะเป็นนักเรียน แล้วก็มีคนทำงานแถวนั้นมาซื้อ เพราะใกล้รถไฟฟ้าสามารถเดินทางมาซื้อได้สะดวก แต่ร้านที่สาขาตะนาวค่อนข้างไกลจากกลางเมือง ไม่มีที่จอดรถ นอกจากนี้ก็เราก็ยังมีไปร่วมมือกับร้านกาแฟในจังหวัดนครศรีธรรมราช และภูเก็ตโดยเราเอาสินค้าไปวางเป็นแบบ Co-Brand

 

SME One : เคยมีคนติดต่อให้เราไปขายที่ต่างประเทศบ้างหรือไม่

ภูริชญ์ :  มีในลักษณะของการเอา Product ไปวางขายที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว เจ้าแรกคือพอดีเราเอาช็อกโกแลตไปประกวดที่อิตาลี แล้วเราก็แวะหาผู้ค้าจากฝรั่งเศสเพื่อเอาสินค้าไปให้ทดลองวางขาย ซึ่งเขาก็ยังไม่ได้ Appreciate เท่าไหร่ ด้วยความที่เราไม่ได้ผลิตเยอะแล้วเขาต้องการซื้อในราคาครึ่งหนึ่งของที่เราผลิต ทำให้เราก็ต้องแบกรับภาระเอง ซึ่งท้าทายมากสำหรับเรา 

ส่วนที่รายใหม่ที่ติดต่อมา จะเป็นร้านขายเฉพาะ Crafted Chocolate หลาย ๆ ยี่ห้อจากทั่วโลก เขาพยายามหาช็อกโกแลตที่ได้รางวัลไปขาย แต่ก็เหมือนเดิมคือทางร้านจะกำหนดราคามา แถมเราต้องแบกรับค่าขนส่ง คือลำบากมาก เพราะว่าเราไม่ได้ผลิตจำนวนมากแบบส่งสินค้าทีละครึ่งตู้คอนเทนเนอร์ ปกติที่เราเห็น Crafted Chocolate บางแบรนด์เขาส่งที 1 ตู้ ครึ่งตู้ แต่เราไม่ได้ผลิตเยอะขนาดนั้น

 

SME One : ปัญหา COVID-19 ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด

ภูริชญ์ : ยอดขายโดยรวมเราหายไป 80% ช่วงเดือนแรกนี่คือ 90% เลย ร้านที่หอศิลป์ก็ปิด ที่สยาม พารากอนก็ปิด เหลือสาขาเดียว พอหลังจากเดือนมิถุนาปีที่แล้วตัวเลขก็เริ่มกลับมาแต่ก็ไม่ได้ดีมาก เหลือยอดขายประมาณ 30% ตอนนี้ยอดขายก็เหลือประมาณ 15-20% ต่อเดือน

โชคดีของเราคือ เราพยายามทำเองให้มาก เราไม่ได้จ้างคนเยอะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผลกระทบเรื่องค่าใช้จ่ายของพนักงานก็เลยไม่ได้สูงมากเท่าไหร่ ที่เราทำตอนนี้คือ 1. พยายามลด Budget ลด Cost ต่าง ๆ ลง 2. ทำองค์กรให้ Lean มากขึ้น

ส่วนช่องทางขายทุกวันนี้เราขายผ่านช่องทาง E-Marketplace ใน Lazada แต่ก็ยังมีปัญหาค่าขนส่ง เพราะว่าช็อกโกแลตเป็นสินค้าที่เก็บอุณหภูมิต่ำ ค่าขนส่งแบบเย็นจะสูงกว่า รายได้จากช่องทาง Lazada ถือว่ายังไม่สูงมาก เราแค่ทดลองขายดูว่าลูกค้าต่างจังหวัดจะยอมรับค่าขนส่งได้หรือไม่ นอกจากนี้เราก็มีขายผ่าน LINEMAN Wongnai แล้วก็มีแบบที่เป็นลูกค้าประจำที่โทรมาสั่งแล้วก็ให้เราส่งผ่านไรเดอร์เอง 

 

SME One : ถ้า COVID-19 จบลง อยากจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร

ภูริชญ์ : ที่ผ่านมาเราพยายามว่าทำความเข้าใจลูกค้าว่าชอบอะไร เพราะว่าคนไทยไม่ได้กินช็อกโกแลตเยอะขนาดนั้น สิ่งที่คนไทยเข้าใจช็อกโกแลต คือโกโก้ พาวเดอร์ ซึ่งมันต้องใช้เวลา เราก็พยายามทำให้สินค้าเรามีคุณภาพและแตกต่างจากเจ้าอื่น

ถ้าถามว่าอะไรคือ Key Success ของร้านเรา ผมว่ามันเป็นความพยายามที่จะเรียนรู้ทุกอย่างตลอดเวลา เราไม่ได้แบบได้รางวัลมาแล้วมี Ego เพราะทุกครั้งที่เราส่งประกวด เราไม่ได้ส่งทีเดียว แต่เราส่งทุกปี บางทีเราก็ส่งตัวเดิม เพราะเราอยากรู้ว่าคุณภาพช็อกโกแลตของเราพัฒนาขึ้นหรือไม่

การทำร้านช็อกโกแลตต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้บริโภคด้วย แล้วยังมีปัจจัยด้านราคา สมมติว่าทำเลในกรุงเทพฯ กำลังซื้อมันจะค่อนข้างสูง แต่พอออกไปต่างจังหวัด ถ้าไม่ใช่หัวเมืองใหญ่ ๆ หรือเมืองที่มีค่าครองชีพสูง ผู้บริโภคก็ยังมี Question กับช็ฮกโกแลตอยู่

ความท้าทายของ PARADai Crafted Chocolate & Cafe ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ คือความเข้าใจลูกค้า เพราะว่าสุดท้ายเรายังไม่เข้าใจผู้บริโภคทั้งหมด สมมติเป็นคนไทยในหลาย ๆ กลุ่ม เขาต้องการอะไร ความเข้าใจของช็อกโกแลต ของโกโก้เขาคืออะไร ส่วนลูกค้าต่างชาติ แต่ละชาติความต้องการ Flavour ของช็อกโกแลตก็ไม่เหมือนกันอีก ที่เหมือนกันคือเขาจะมีมาตรฐานที่สูงกว่าคนไทย

 

SME One : อยากจะให้ฝากคำแนะนำถึงผู้ประกอบการ SME ไทย

ภูริชญ์ : สิ่งแรกคือ จะต้องศึกษาทำความเข้าใจธุรกิจที่จะทำก่อน แล้วก็ต้องเข้าใจลูกค้า แล้วจึงทดลองทำเป็นแบบ Prototype ออกมาให้คนลองใช้หรือบริโภค สิ่งที่อยากให้เน้นคือคุณภาพของสินค้าเทียบกับราคาที่ตั้ง คุณภาพจะต้องได้มากกว่าราคาที่ผู้บริโภคยอมจ่าย แม้ว่าเราจะทำสินค้าราคาถูก แต่ก็ต้องทำให้มีคุณภาพมากกว่าราคา หรือมีความคุ้มค่าทางราคา และคุ้มค่าทางจิตใจด้วย เพราะมันจะมีผลต่อความพึงพอใจลูกค้า และกลายเป็น Loyalty ในอนาคต

 

บทสรุป

หัวใจสำคัญของช็อกโกแลตไม่ได้อยู่แค่ขั้นตอนการปรุง หากแต่เริ่มต้นตั้งแต่การคัดสรรค์สายพันธุ์ คัดเลือกพื้นที่ปลูก การหมัก การคั่ว ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการปรุง เมื่อเอากระบวนการผลิตที่ดีมารวมกับความคิดสร้างสรรค์ของภูริชญ์ ที่พยายามใส่ความเป็นไทยเข้าไปในอาหารสากลอย่างช็อกโกแลต จึงทำให้ PARADai Crafted Chocolate & Cafe สามารถครองใจ Chocolate Lover ในเวลาอันรวดเร็ว

บทความแนะนำ

รู้จัก AI (Artificial Intelligence) เทคโนโลยีที่จะสร้างแต้มต่อให้กับ SMEs

สมัยก่อนเมื่อพูดถึงเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) SMEs ส่วนใหญ่อาจคิดว่าเป็นเรื่องของธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรและเงินทุนเต็มไม้เต็มมือเท่านั้นที่จะเป็นเจ้าของได้ แต่วันนี้หลายอย่างกำลังเปลี่ยนไป เพราะ AI เป็นเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิมแถมราคายังถูกลงด้วย ที่สำคัญ AI กำลังจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัวแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ SMEs จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด 

ปีที่แล้วการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ หันมองไปในวงการไหนก็จะเห็นว่าการนำ AI มาใช้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสุขภาพ การศึกษา อุตสาหกรรมยานยนต์ที่หลายค่ายกำลังพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเอง หรือแม้กระทั่งภาคเกษตรกรรมที่เลือกใช้โดรนอัจฉริยะในการหว่านเมล็ดพันธุ์ ไปจนถึงการใส่ปุ๋ยและพ่นยาฆ่าแมลง

Global Forecast to 2022 ของเว็บไซต์ marketsandmarkets.com เผยว่า ภายในปี 2022 มูลค่าการตลาดธุรกิจ AI จะมากถึง 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่หัวเว่ยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 จะมีอุปกรณ์สมาร์ทส่วนตัวสูงถึง 4 หมื่นล้านชิ้น และ 90% ของผู้ใช้อุปกรณ์จะมีผู้ช่วยดิจิทัลที่ฉลาด การใช้ข้อมูลจะสูงขึ้น 86% และจะมีบริการ AI ให้ใช้งานทั่วไปแพร่หลายเหมือนอากาศที่เราหายใจเลยทีเดียว นั่นเท่ากับว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีสำหรับการใช้งานของทุกคน 

เห็นไหมว่า AI กำลังเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรมไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจเล็กๆ ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป ชอบใช้เครื่องบริการตนเองอัตโนมัติ (Self Service) ผ่านหน้าจอหรือหุ่นยนต์ และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน หรือแม้แต่ค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ถึงเวลาแล้วที่ SMEs ต้องเรียนรู้เทรนด์นี้เพื่อนำมาปรับใช้บริหารจัดการกระบวนการผลิตไปจนถึงด้านการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ ลดขั้นตอนการทำงานบางส่วน และลดช่วยต้นทุน พร้อมสร้างแต้มต่อในการแข่งขันยุคดิจิตัล

เพราะหลักการการทำงานของ AI มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ เก็บข้อมูล สรุปผลตรงตามเป้าหมายและสามารถสั่งการ หรือการพยากรณ์ที่แม่นยำได้ดีกว่ามนุษย์ ตอบสนองได้ตรงจุด ตรงตามวัตถุประสงค์ ไม่มีความรู้สึก สภาพอารมณ์ และความเหนื่อยล้าที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาด ทั้งนี้  AI มีหลายรูปแบบ เช่น 

Internet of Things (IoT) เป็นเทคโนโลยีการเก็บบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์ เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เริ่มสื่อสารกันเอง เมื่อถูกผสานเข้ากับเทคโนโลยี AI ในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์สถานการณ์ก็ยิ่งเพิ่มความสามารถยิ่งขึ้นไปอีก เพราะสามารถเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนได้มากขึ้น 

ระบบการเรียนรู้อัตโนมัติ  (Automated Machine Learning) คือสมองของ AI ที่สามารถเรียนรู้ได้เองจากข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมเป็น Big Data ยกตัวอย่างการทำงานของ Siri ใน iOS หรือ Google Assistant  ที่เรียนรู้ภาษาและการโต้ตอบกับมนุษย์ได้ และยิ่งหากใช้บ่อยๆ ที่สามารถรับคำสั่งด้วยเสียงที่แม่นยำมากขึ้น หรือแม้กระทั่งNetflix ที่ใช้ Machine Learning ในการประมวลผลข้อมูลเพื่อแนะนำวีดีโอที่ผู้ใช้งานอาจชอบ เกิดจากการเรียนรู้จากพฤติกรรมการรับชมของผู้ใช้งานทั้งสิ้น 

ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) ซึ่งอยู่ในรูปของเครื่องมือ หรือหุ่นยนต์ สามารถลดแรงงานมนุษย์ แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือการทำงานได้เร็วและมีความแม่นยำ ช่วยลด Human Error ได้เป็นอย่างดี

เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ระบุตัวตนของลูกค้าและให้บริการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถจับอารมณ์และความพึงพอใจของลูกค้า นำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาบริการต่อไปได้

ปัจจุบันเราเริ่มเห็น SMEs นำเทคโนโลยี AI เข้าไปใช้ดำเนินธุรกิจกันบ้างแล้ว 

อย่างในกรณีของ Class Café แม้จะเป็นร้านกาแฟแต่เบื้องหลังการทำงานนั้นเต็มไปด้วย AI และ Machine Learning ที่นำมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจาก Big Data ที่ได้มาจากช่องทางโซเชียลมีเดียของลูกค้า เพื่อคาดเดาพฤติกรรมว่าวันนี้จะสั่งเครื่องดื่มอะไร โดยหาแนวโน้มจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ซึ่งมีผลต่อการสั่งซื้อเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ที่เหมาะกับอากาศ การนำข้อมูลจากอดีตยังสามารถทำนายดีมานด์ในอนาคตได้อีกด้วยว่า 7 วันข้างหน้าจะมีลูกค้าเข้ามาที่ร้านกี่คน ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการสต๊อกวัตถุดิบ 

นอกจากนี้ Data Analytics  ยังทำให้ Class Cafe บริการลูกค้าได้ลึกขึ้น ตรงจุดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต COVID-19 ทำให้ทางร้านออกโปรโมชันได้อย่างโดนใจลูกค้า

ล่าสุดเมื่อ Class Cafe แก้ปัญหาจากมาตรการล็อคดาวน์ด้วยการออกตู้ AI CLASS GO มาให้บริการตามย่านธุรกิจในเมือง เพียงแค่สแกน เปิดตู้ จากนั้นก็หยิบสินค้าได้เลย (Scan – Take – Go) แต่ตู้นี้มีความพิเศษตรงนี้มีการติดตั้งกล้อง AI และเซนเซอร์ต่างๆ ภายในตู้ เพื่อใช้ส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ จากนั้นก็จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าคนนั้นๆ เพื่อทำแผนการตลาดต่อไป

เมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้แล้ว ผู้ประกอบการ SMEs ต้องมีแผนประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม สำหรับบางรายที่มีงบประมาณการลงทุนด้านเทคโนโลยีไม่มากนัก สามารถเข้าถึงบริการจากแอปพลิเคชั่น AI เจ้าต่างๆ ได้ฟรีในฟีเจอร์เบื้องต้น หรืออาจต้องแลกด้วยค่าบริการบ้าง แต่เครื่องมือเหล่านี้จะลดขั้นตอนการทำงาน และลดแรงงานได้มากทีเดียว เช่น 

 ARIS เป็น AI Chatbot ผู้ช่วยขายอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การเลือกสินค้าไปจนถึงรายละเอียดการจัดส่ง เหมาะกับ SMEs ที่ทำค้าปลีกออนไลน์ 

Backyard รวบรวมและวิเคราะห์ Big Data ผ่านการเรียนรู้ของเครื่องจักรและการประผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing : NLP) ให้ข้อมูลการวิเคราะห์ในแดชบอร์ดบนเว็บที่ใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพของฟังก์ชั่นการขายและการตลาดของลูกค้า

Primo แพลตฟอร์มการโปรโมทข้ามออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ปลีกสามารถหาลูกค้าใหม่และเพิ่มความภักดีในกลุ่มลูกค้าเดิมด้วยการโปรโมทข้ามกัน 

Ricult โซลูชั่นดิจิตัลทางการเกษตร เก็บวิเคราะห์ข้อมูลคาดการณ์สภาพภูมิอากาศ ตัวช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรแบบแม่นยำ ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต

Alto Energy Edge ช่วยเจ้าของโรงแรมจัดการทรัพยากรภายในโรงแรมอย่างมีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า 30% โดยระบบ AI จะทำการเปิด-ปิด หรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถเช็กสถานะและควบคุมอุปกรณ์ด้วย IoT 

AIYA เป็นแพลตฟอร์มแชตบอต (Chatbot) สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีฐานลูกค้าในเฟซบุ๊ก และไลน์ รวมถึงกลุ่มลูกค้าองค์กร ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ บริหารลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และดูแลลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับ SMEs ที่ยังไม่ยังคิดว่าเรื่องของ AI เป็นสิ่งไกลตัว อยากให้รีบเปลี่ยนความคิดและลองมองหาตัวช่วยด้วยเทคโนโลยี AI แล้วจะพบว่าสามารถเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุนได้จริงๆ แถมยังลดขั้นตอนการทำงาน ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลามากขึ้นเพื่อพัฒนา หรือขยายธุรกิจได้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม 

บทความแนะนำ

Knight Black Horse Winery ไวน์ผลไม้จากเพื่อนบ้าน สู่ไวน์ระดับสากล

 

Knight Black Horse Winery ไวน์ผลไม้จากเพื่อนบ้าน สู่ไวน์ระดับสากล

เพราะต้องการแก้ปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำจากสภาวะผลไม้ล้นตลาด จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่กลุ่มแม่บ้านสหกรณ์คลองสอง คิดที่จะเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตผลทางการเกษตร  สู่การมุ่งมั่นพัฒนาจนมาเป็น Knight Black Horse Winery ไวน์คุณภาพมาตรฐานสากล จนสามารถเพิ่มยอดขาย สร้างอาชีพให้กับคนพื้นที่ มีร้านค้าจำหน่ายสินค้าของตนเองกระจายไปทั่วประเทศจนสามารถส่งออกไปต่างประเทศได้

.

สุ่มหากลุ่มเป้าหมาย

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นการชักชวนเพื่อนบ้านมาเป็นหุ้นส่วนกัน จนสามารถรวมเป็นกลุ่มแม่บ้านโดยมีสมาชิกเป็นจำนวน 25 คน ได้นำผลไม้มาลองหมักเป็นสาโทตามแบบวิถีชาวบ้าน และทำการทดลองขายในชุมชน ปรากฏว่าได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี และได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงรวมกลุ่มกันขึ้นเป็นสหกรณ์คลองสอง เริ่มพัฒนาสินค้าเป็นไวน์จำหน่าย

ด้วยปัจจัยด้านเงินทุนที่ต้องหมุนเงินสดเพื่อซื้อวัตถุดิบ การตลาดช่วงแรกเริ่มจึงเป็นการตระเวนออกร้านทุกประเภทเพื่อกระจายสินค้า จนได้มีโอกาสไปออกร้านที่งานหนึ่งในพัทยาและพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชอบในตัวสินค้าไวน์ผลไม้มาก จึงหันมาจับกลุ่มเป้าหมายนี้อย่างจริงจัง พร้อมเปลี่ยนไปเน้นการตลาดตามจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนทำให้ได้เงินสดมาใช้จ่ายให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ 

.

ขยายกิจการด้วยคนในพื้นที่

หลังจากสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตและทำการจัดตั้งเป็นบริษัทขึ้น ทั้งนี้ได้มีการกระจายสินค้าโดยการไปเช่าร้านตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และจ้างคนในพื้นที่มาเป็นพนักงานขายประจำร้าน เมื่อยอดขายเติบโตและเห็นผลกำไรคุ้มค่า จึงส่งต่อร้านให้ผู้ที่สนใจลงทุนรับไปบริหารต่อ โดยทางกลุ่ม Knight Black Horse Winery เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นผู้จัดส่งสินค้าให้เท่านั้น ซึ่งข้อดีคือเมื่อได้คนที่สนใจมาเป็นเจ้าของร้านเองก็พบว่ายอดขายโตมากขึ้น จนปัจจุบันสามารถขยายไป 57 สาขาทั่วประเทศ โดยมีเพียง 14 สาขาเท่านั้นที่ทางบริษัทบริหารเอง 

.

สร้างโมเดลธุรกิจที่เหมาะกับสินค้าของตน

การตลาดของ Knight Black Horse Winery ถือว่ามีแนวคิดที่แตกต่าง เพราะไม่ฝากวางตามร้านอื่น ๆ หรือวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าใด ๆ แต่ลงทุนเปิดร้านด้วยตัวเอง เพราะมองว่าระบบการวางของในห้างสรรพสินค้าไม่ตอบโจทย์ต่อธุรกิจของตน เช่น การจ่ายเงินแบบเครดิต ซึ่งเป็นปัญหากับธุรกิจที่ต้องใช้เงินหมุนเวียนซื้อวัตถุดิบ  อีกทั้งสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ในห้างสรรพสินค้ามีระยะเวลาการขายจึงมองว่าการขายเองข้างนอกได้เปรียบมากกว่า และที่สำคัญที่สุดคือความตั้งใจที่อยากทำสินค้าที่มีคุณภาพให้ผู้บริโภคได้รับประทานในราคาถูก เพราะการไปวางสินค้าตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะมีการคิดกำไรเพิ่มเข้าไป ทำให้การนำมาขายเองนั้นสามารถลดต้นทุนแฝงในสินค้าลงได้

นอกจากจะไม่มีการฝากวางขายแล้ว Knight Black Horse Winery  ทำการตลาดแบบไม่มีฝ่ายขาย ใช้วิธีบอกกันปากต่อปากจึงมองว่าที่กิจการเดินหน้ามาได้ทุกวันนี้มาจากคุณภาพของสินค้าที่แท้จริง

.

เพิ่มความรู้สู่มาตรฐานสากล

จากจุดเริ่มต้นจนมาเป็นแบรนด์ Knight Black Horse Winery ในทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการหมั่นเสาะแสวงหาความรู้เพื่อที่จะพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์เทียบเท่าสากล นอกจากการศึกษาในประเทศแล้ว ยังมีการไปศึกษาหาข้อมูลในต่างประเทศ โดยไปเรียนรู้จากไร่หรือเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการทำไวน์โดยตรง เช่น นาปาวัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำไวน์ หรือความรู้ด้านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐาน มีการติดต่อสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพราะสายพันธุ์เหมาะกับการทำไวน์มากกว่า และสั่งซื้ออุปกรณ์ เช่น ถังไม้โอ๊กจากฝรั่งเศสเข้ามาเพื่อใช้เก็บไวน์ โดยทางบริษัทใช้วิธีค่อย ๆ ปันผลกำไรเพื่อมาพัฒนาสินค้าและอุปกรณ์ จนสามารถขยายขึ้นเป็นโรงงานที่ได้มาตรฐาน HACCP ที่ทำการส่งออกได้ นอกจากสินค้าส่งออกแล้ว ด้วยความมีคุณภาพและมาตรฐาน จึงได้รับการติดต่อการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) อย่างสม่ำเสมอ 

.

ผลิตภัณฑ์ของ Knight Black Horse Winery ปัจจุบันมี 28 ชนิด ซึ่งผลไม้ที่ทำไวน์จะเน้นเป็นผลไม้ไทย  ส่วนไวน์องุ่นจะใช้องุ่นที่นำเข้า โดยมีสินค้าที่เป็นที่นิยมดังนี้

    • ไวน์ลิ้นจี่ รสชาติออกหอมหวานติดเปรี้ยว หอมกลิ่นลิ้นจี่ รสชาติหนึ่งเดียวของไวน์ผลไม้ไทย
    • ไวน์สตรอเบอรรี่  น้ำไวน์ออกสีชมพูแดง  รสชาติออกหอมหวานติดเปรี้ยว มีกลิ่นสตรอเบอร์รี่ เป็นอีกรสชาติหนึ่งของไวน์ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
    • ไวน์แดงมังคุด ทำจากเนื้อมังคุด 90% เนื้อเปลือกมังคุด 10% บ่มโอ๊กให้รสชาติหนักแน่นเต็มที่ ฝาดเผื่อน ไม่หวาน
    • ไวน์มะม่วง น้ำไวน์ออกสีเหลืองทองเล็กน้อย รสชาติหอมหวานติดเปรี้ยว หอมกลิ่นมะม่วงอกร่อง รสชาติที่ลงตัวในทุกด้าน
    • ไวน์แดง คาเบอร์เน่ต์  โซวีนญอง ผลิตจากองุ่นพันธุ์  คาเบอร์เน่ต์ โซวีนญอง จากออสเตรเลียตอนใต้ รสชาติฝาดเผื่อน บ่มโอ๊กฝรั่งเศส ไม่หวาน มีกลิ่นและรสที่หอมนุ่ม
    • ไวน์แดง เมอร์โลต์ ออสเตรเลีย ผลิตจากองุ่นพันธุ์ เมอร์โลต์ รสชาติฝาดเผื่อน ไม่หวาน กลิ่นหอม  รสนุ่ม
    • สปาร์คกลิ้งไวน์แดง แลมบลัสโก้ อิตาลี สปาร์กลิงที่บ่มแบบธรรมชาติอันยาวนาน กลิ่นหอมสะอาดตั้งแต่แก้วแรก ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น
    • สปาร์คกลิ้งไวน์ ชาดอนเนต์ สปาร์คกลิ้งไวน์ประกายฟองที่บ่มแบบธรรมชาติอันยาวนาน กลิ่นหอมสะอาดตั้งแต่แก้วแรก ให้ความสดชื่น มีความซ่า

.

เพราะปรับตัวและเรียนรู้อยู่เสมอ ทาง Knight Black Horse Winery ได้เล็งเห็นกลุ่มเป้าหมายเพิ่ม เป็นกลุ่มคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และกลุ่มรักสุขภาพ เกิดการคิดค้นและผลักดันเครื่องดื่ม Sparkling ที่เป็นน้ำผลไม้ 100% โดยมีการนำเทคโนโลยีมาจากอิตาลี มาทำให้รสชาติเหมือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ และทำการตลาดวางขายในราคาไม่แพง นอกจากนี้ยังมีการปรับตัวเข้ามาสู่โลกออนไลน์มากขึ้นโดยนำสินค้ามาขายตามแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ อีกช่องทางหนึ่ง 

ด้วยความมุ่งมั่นในการทำไวน์ให้มีคุณภาพดี และราคาที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถจับต้องได้ ทำให้ปัจจุบัน Knight Black Horse Winery ประสบความสำเร็จในวงการไวน์ผลไม้ไทย ผลิตสินค้าออกได้ 10 ล้านขวดต่อปี มีร้านจำหน่ายไวน์ตามสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายสาขา 

 

.

ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ Knight Black Horse Winery และสนใจการเยี่ยมชมโรงบ่มไวน์สามารถติดต่อได้ที่

Knight Black Horse Winery
21/9 หมู่5 ซ.บงกช45 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
Tel: 089 501 9124, 083-544-7179
Email: kbhwinery@live.com
Facebook: Knight Black Horse Winery

Website : www.winemakerpop.com
Line: @KBH789

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ

อาณาจักรวังรี เปลี่ยนเกษตรเคมีเป็นเกษตรอินทรีย์

อาณาจักรวังรี เปลี่ยนเกษตรเคมีเป็นเกษตรอินทรีย์

คลินิกเทคโนโลยี สถาบันพัฒนาอาชีพวังรี มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนรูปแบบการเพาะปลูกจากเกษตรเคมีเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยให้สนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการถ่ายทอดความรู้ในการเพาะปลูก วางแผนและพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมกับพืชผักผลไม้ รวมถึงช่วยหาช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตผลการเกษตรที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีกินมีใช้ 

.

ตั้งยุทธศาสตร์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเกษตร

หน้าที่หลักของสถาบันพัฒนาอาชีพวังรี คือ การเข้าไปช่วยเหลือเหล่าเกษตรกร ให้สามารถสร้างรายได้ที่มากขึ้น ทางสถาบันจึงได้เข้าไปช่วยวางยุทธศาสตร์ในการปลูกผักผลไม้ การทำสวนต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร ให้เห็นว่านอกจากการขายผลผลิตแบบสดแล้ว ต้องมีการแบ่งผลผลิตออกไปแปรรูปเป็นอย่างอื่นเอาไว้ด้วยเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า ตลอดจนกระบวนการหาช่องทางการขาย โดยมีแนวคิดว่า ผลผลิตที่เป็นผักผลไม้สดนั้นควรปลูกตรงไหน ขายตรงนั้น ไม่ต้องมีการขนส่ง เพื่อคงความสดใหม่ และช่วยลดปัญหาเรื่องของคนกลางลงได้

.

วังรี คลีน ผักอินทรีย์สดจากสวนถึงมือคุณ

เมื่อมีผลผลิต ก็จำเป็นต้องมีช่องทางการกระจายสินค้า จึงได้มีการทำเป็น วังรี คลีน ขึ้นเป็นแพล็ตฟอร์มการขายสินค้าพืชผลการเกษตรออนไลน์ ผ่านช่องทาง Facebook: Wangree Clean และเว็บไซต์ www.wangreefresh.com รวมถึงเปิดให้มีช่องทางให้สามารถโทรศัพท์หรือส่งข้อความผ่านทาง Line Official Account ไปสั่งจองผักผลไม้สดได้ จากนั้นทางร้านจะจัดส่งผักผลไม้สดจากสวนไปถึงมือลูกค้า อีกช่องทางหนึ่งคือ การกระจายสินค้าไปตามร้านค้าใหญ่ ๆ โดยมีรูปแบบการขายเป็นระบบสมาชิก 

ซึ่งผักที่ทางวังรี คลีน จำหน่ายนั้นไม่เพียงแต่สด ใหม่ รสชาติอร่อย แต่ยังมีแนวคิดในการปลูกให้เป็น Functional Food ด้วยการปรับวิธีการปลูกให้เข้ากับคนบางกลุ่มที่มีความต้องการทางโภชนาการแบบพิเศษ เช่น ไม่สามารถรับสารอาหารบางชนิดโดยตรงได้ ทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่สั่งสินค้ารูปแบบนี้เป็นประจำ คือ กลุ่มโรงพยาบาล องค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการผักปลอดสารพิษ ไปจนถึงกลุ่มลูกค้าที่ซื้อไปขายต่อ และลูกค้าทั่วไป 

.

 

Plant Factory ปลูกผักอัจฉริยะ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน

ทางสถาบันเองยังได้มีการนำเทคโนโลยี เพื่อช่วยควบคุมคุณภาพของผลผลิต และช่วยแก้ปัญหาสภาพอากาศให้กับเกษตรกร ด้วยการเปิด Plant Factory คือ โรงปลูกผักอัจฉริยะที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ด้วยระบบเทคโนโลยี เพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกร ประหยัดพื้นที่เพราะใช้พื้นที่ปลูกเรียงขึ้นไปเป็นชั้นๆ การทำ Plant Factory จะประกอบไปด้วย โรงเรือนระบบปิดสำหรับกักเก็บความเย็นและกันความร้อน สำหรับช่วยควบคุมแสงและอุณหภูมิการเพาะปลูก จึงทำให้ควบคุมแสงอาทิตย์ได้เหมือนปิดสวิตช์ดวงอาทิตย์ และมีการคิดสูตรคำนวณสัดส่วนการใช้น้ำและปุ๋ยที่เหมาะสมกับพันธุ์พืชแต่ละชนิด ทางสถาบันได้ทำการศึกษาจนได้ผลลัพธ์ที่ลงตัว Plant Factory สามารถช่วยลดระยะเวลาในการเพราะปลูกลงได้จากเดิมถึง 65-75% พืชผักปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ และผลผลิตที่ได้ออกมานั้นล้วนแล้วแต่ปลอดสารเคมี แต่เนื่องจากต้นทุนในการทำ Plant Factory มีมูลค่าหลักล้านบาทขึ้นไป ทางสถาบันจึงส่งเสริมให้เหล่าเกษตรกรรวมตัวกันเพื่อลดจำนวนเงินในการลงทุนและเป็นเจ้าของร่วมกัน

.

Bistro ปลอดสารพิษ

สถาบันวังรียังมองไปถึงอนาคตว่า เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในจุดหมายแห่งการท่องเที่ยว จึงต้องการนำเสนอความใส่ใจในสุขภาพที่ถูกผสมผสานเข้ากับสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยแผนการเปิดร้าน Bistro ปลอดสารพิษ จากการนำผักผลไม้เกษตรอินทรีย์มาทำปรุงเป็นอาหาร ให้กับนักท่องเที่ยวที่ไปใช้เวลาพักผ่อน รวมถึงเปิดให้สามารถซื้อผักผลไม้สดกลับบ้านได้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นความตั้งใจของทางสถาบัน ที่ต้องรอให้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นเสียก่อน จึงจะได้พบกับร้านอาหารที่เน้นเรื่องการใส่ใจสุขภาพเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะแนวคิดของสถาบันวังรี คือ หาความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ก่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ (Innovation) แล้วทำการต่อยอด (implement) เพื่อให้วันนี้แตกต่างจากเมื่อวานเสมอ 

.

สามารถติดตาม คลินิกเทคโนโลยี สถาบันพัฒนาอาชีพวังรี ได้ที่

บริษัท วังรี คลีน จำกัด
183/1 ซอย 4 หมู่บ้านนวธานี ถ. เสรีไทย แขวง รามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร 10230
โทร. 080 993 9492
อีเมล: supako_san@yahoo.co.th

Website : www.wangreeorganicfarm.com
Facebook: WangreeOrganic

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

 

บทความแนะนำ