Lekker Café and Restaurant รักสุขภาพพร้อมรักษ์โลก

Lekker Café and Restaurant รักสุขภาพพร้อมรักษ์โลก

จะมีใครคิดบ้างว่า การที่ลูกค้าเดินเข้าร้านอาหาร แล้วสั่งกาแฟแค่ 1 แก้ว หรือ อาหารเพียง 1 มื้อ จะสามารถช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้ พร้อมกับดูแลสุขภาพของตัวเองได้พร้อมกันด้วย

นี่คือวิธีคิดจากคุณอัจฉรา ฟุกเท็น เจ้าของร้าน Lekker Café and Restaurant ที่อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ ที่ต้องการให้ลูกค้าทุกคนได้มีส่วนช่วยดูแลโลก ผ่านไลฟ์สไตล์ปกติในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ต้องไปลงมือลงแรงปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตไปจากเดิม เรียกว่า ที่ร้าน Lekker Café นั้นอำนวยความสะดวกให้ทุกคนได้ดูแลโลกผ่านการเข้ามาทานอาหาร หรือแค่เข้ามานั่งดื่มกาแฟ

แล้วมันจะช่วยดูแลโลกได้อย่างไร ก็ต้องมาดูลึกลงไปถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังของเมนูอาหารและเครื่องดื่ม ที่ทุกขั้นตอนนั้นต้องช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม ไล่มาตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบจากผู้ผลิตในชุมชนอ่าวนางเลยทีเดียว ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นสโลแกนสั้นกระชับจับใจ ว่า “Drink Black, Eat Green”

 

Drink Black, Eat Green

สโลแกนนี้เป็นการสื่อสารคุณค่าที่ทางร้าน Lekker ยึดถือ ให้ไปถึงลูกค้า โดย

Drink Black นั้นเป็นการสนับสนุนให้คนหันมาทานกาแฟดำไม่ใส่นมไม่ปรุงรส ซึ่งทางร้านมีเมล็ดกาแฟคัดสรร 3 สายพันธุ์ ที่ผ่านกระบวนการหมักผลของกาแฟรวมกับเมล็ดกาแฟ เพื่อให้เมล็ดนั้นมีรสชาติหวานปลายในตัวเอง ทำให้กาแฟดำดื่มได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใส่น้ำตาลเพิ่ม เมื่อไม่ต้องใส่น้ำตาล ก็จะเป็นผลดีกับสุขภาพ และเป็นการลดการใช้น้ำตาล ที่มาจากอุตสาหกรรมไปอีกทางหนึ่ง รวมถึงการทานกาแฟที่ไม่ใส่นม ก็เป็นการช่วยลดการใช้ผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ ที่ทั่วโลกนับว่าเป็นกระบวนการที่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมมากอันดับต้น ๆ นอกจากนั้นลักษณะพฤติกรรมของคนทานกาแฟ ใน 1 วัน จะไม่ได้ดื่มกาแฟเพียงแค่แก้วเดียว จะต้องมีการดื่มระหว่างวัน เป็นแก้วที่ 2-3 ถ้าทุกแก้วนั้นดื่มเป็นกาแฟดำ ก็ยิ่งส่งผลดีมากยิ่งขึ้นในทุก ๆ ด้าน

Eat Green เป็นการสนับสนุนให้ทานอาหารจากวัตถุดิบออร์แกนิกในชุมชนอ่าวนาง เป็นการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้ผลิตด้วยทางหนึ่ง ร้าน Lekker เองยังได้มีการนำเสนอทางเลือกให้กับเมนูมังสวิรัติในรูปแบบใหม่ ๆ ที่มีรสชาติดี ให้ประโยชน์ทางโภชนาการสูง จากวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในชุมชน สร้างสรรค์เมนูที่หาทานที่ไหนไม่ได้ กลายเป็นเมนูยอดนิยมที่จุดประกายให้ลูกค้ารู้สึกเกิดไอเดียอยากหาวัตถุดิบกลับไปเข้าครัวทำกินกันที่บ้าน ซึ่งทางร้าน Lekker เชื่อว่าหากว่าผู้คนสามารถลดการทานเนื้อสัตว์ในแต่ละมื้อลงได้ ก็เป็นอีก 1 ทาง ที่จะช่วยส่งผลให้ขนาดของอุตสาหกรรมปศุสัตว์เล็กลงได้

จากแนวคิดที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้ ร้าน Lekker Café and Restaurant ได้รับการติดต่อจาก หน่วยงานต่าง ๆ สามารถชนะรางวัล SME Provincial Champions 2023 รางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้กับ SME ที่เชื่อมโยงธุรกิจเข้ากับชุมชนได้อย่างโดดเด่น โดยเป็นรางวัลที่มอบให้ SME ที่มีคะแนนสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวของจังหวัด รวมถึงได้รับรางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ SME National Awards อีกรางวัลหนึ่งด้วย

นอกจากเป็นร้านที่ชนะรางวัลแล้ว ยังเป็นร้านที่ชนะใจลูกค้าในละแวกอ่าวนางที่ทำให้คนพูดถึงกันปากต่อปาก ทั้งจากคนในชุมชนไปจนถึงนักท่องเที่ยวที่ต่างปักหมุดมาแวะเวียนจากทั่วโลก

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

Lekker Café and Restaurant 

ที่อยู่: 33/5 หมู่ 2 ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ 81180

โทร: 080-870-2383

อีเมล: adchara.voeten@gmail.com

Facebook:  Lekker Cafe’ Krabi

บทความแนะนำ

เสบียงคลีน ร้านอาหารคลีนที่เข้าใจคนยุคใหม่

เสบียงคลีน ร้านอาหารคลีนที่เข้าใจคนยุคใหม่

หลังจากยุคโควิดเป็นต้นมา ผู้คนเริ่มมาให้ความสนใจในด้านสุขภาพกันมากขึ้น ทั้งในเรื่องการดูแลสุขอนามัยไปจนถึงอาหารการกิน ที่ต้องเลือกอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และดีต่อสุขภาพ

คุณจิรภัทร ปั้นสำรอง ได้มองเห็นรูปแบบไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไป จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจที่จะทำร้านอาหารคลีน เพื่อช่วยดูแลสุขภาพให้กับผู้คนอีกทางหนึ่ง โดยเปิดร้านในชื่อว่า เสบียงคลีน ร้านอาหารคลีนสไตล์มินิมอล

แม้ว่าช่วงที่เปิดร้านแรกที่สาขานวมินทร์ จะเป็นช่วงเวลาท่ามกลางสถานการณ์โควิด แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ร้านเสบียงคลีนหยุดชะงัก ทางร้านได้ปรับวิธีการขายที่เข้าใจผู้บริโภค ด้วยการปรับรูปแบบเป็นขายออนไลน์ทั้งหมด พร้อมให้บริการส่งให้ถึงที่ นับได้ว่าเป็นการเริ่มเรียนรู้การทำระบบออนไลน์ให้กับร้าน และกลายเป็นช่องทางหลักที่ประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงสถานการณ์โควิดมาได้

ความใส่ใจที่กลายเป็นผลตอบรับ

ร้านเสบียงคลีนในช่วงแรกที่เปิดร้านนั้น เรียกว่าเป็นช่วงลองผิดลองถูก ลองลงมือทำไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้วางกลุ่มเป้าหมายหลักว่าลูกค้าจะเป็นคนกลุ่มใด แต่เมื่อมีเหตุให้ต้องย้ายร้านออกจากสาขานวมินทร์ และกำลังหาทำเลของร้านที่จะเปิดใหม่ในบริเวณย่านศาลายา เมื่อได้ตระเวนดู สังเกตการใช้ชีวิตของผู้คน และเก็บข้อมูลมากขึ้นก็พบว่าผู้คนบริเวณมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา นั้นเต็มไปด้วยผู้ที่รักและให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก ทำให้เห็นช่องทางที่น่าสนใจที่จะย้ายร้านมาเปิด 

เป็นไปตามคาด เมื่อร้านเปิดที่ตลาดเมืองนอก ศาลายา ผู้คนต่างให้การตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่วันแรก โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงผู้ที่ออกกำลังกายจริงจังเป็นประจำ เหตุผลหนึ่งมาจากร้านอาหารคลีนในย่านนี้ยังมีจำนวนน้อย และการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าหาร้านได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องมาถึงร้านด้วยตัวเอง

สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับกลุ่มลูกค้าคือ เมนูอาหารที่หลากหลาย ปรุงสด สะอาด น่ารับประทาน มีคุณประโยชน์ ให้ในปริมาณที่คุ้มค่า ราคาไม่สูง และยังมีการคำนวณค่าโภชนาการให้เหมาะกับแต่ละกิจกรรม เช่น หากเป็นคนที่มีการออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อ สามารถแจ้งกับทางร้าน เพื่อให้จัดเตรียมอาหารที่มีโภชนาการที่เหมาะสมได้ รวมถึงทางร้านเองก็มีการให้คำแนะนำกับลูกค้าว่าว่า มื้อไหนเหมาะกับเมนูอะไร โดยอ้างอิงจากปริมาณแคลอรี ทำให้ชนะใจกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงดูแลร่างกายได้เป็นพิเศษ

ด้วยวิธีทำการตลาดแบบออนไลน์ ทำให้ร้านเสบียงคลีน เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว และด้วยกระแสตอบรับที่ดี ทำให้มีหน่วยงานจากกระทรวงพาณิชย์ติดต่อเข้ามา เนื่องจากเล็งเห็นว่าร้านเสบียงคลีน เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ มีความแปลกใหม่ และมีรูปแบบการทำธุรกิจที่ปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี จึงอยากให้ร้านเสบียงคลีนเข้าร่วมการประกวดรางวัล SME Excellence Awards ซึ่งในท้ายที่สุดร้านเสบียงคลีนก็สามารถชนะรางวัลมาได้

คุณจิรภัทร เจ้าของร้านเสบียงคลีน มีแนวคิดในการทำธุรกิจที่ยึดถือมาตลอด ว่า การจะทำธุรกิจต้องมีความเชื่อมั่น มีความศรัทธาเป็นอย่างแรก ต้องโฟกัสจดจ่อกับสิ่งที่ทำว่านี่คือสิ่งที่ใช่ และ ชอบ แล้วลุยให้เต็มที่ ถึงจะท้อแต่ก็ต้องสู้ในทุกสถานการณ์ เพราะกำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงต้องเชื่อมั่นก่อน ว่าเราทำได้

 

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

บริษัท เสบียงคลีน จำกัด

ที่อยู่: 895 หมู่ 4 ซอยกะทุ่มล้ม10 แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม.

โทร: 080-593-5299

อีเมล: sabiangclean.1@gmail.com

Facebook: เสบียงคลีน cafe 

บทความแนะนำ

โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (Business Development System)

 สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยร่วมของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ( สสว.) ขอเรียนเชิญ ผู้ประกอบการ SME ไทย

เข้าร่วม “โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (Business Development System)” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับองค์กร

โดย โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนค่าฝึกอบรมและให้คำปรึกษาแนะนำ สูงสุดถึง 80%

 

โครงการให้บริการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาแนะนำที่ครอบคลุมการบริหารจัดการองค์กรที่เป็นเลิศ ทั้ง 4 ด้าน ดังนี้

  • การวางกลยุทธ์เพื่อการดำเนินธุรกิจ
  • การวางแผนการตลาดและลูกค้า
  • การบริหารทรัพยากรบุคคล และการพัฒนาทักษะตนเอง
  • เพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนการผลิต และระบบมาตรฐานคุณภาพ

 

รายละเอียดโครงการ https://www.ftpi.or.th/bds

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : 02-6195500 ต่อ 573 (ยุธิชล) , 585 (ศาตพร), 584 (กิตติมา)  

081-8077427  (พัชรีพร) ผู้จัดการโครงการ

 

บทความแนะนำ

SME D Bank ออกสินเชื่อใหม่ ‘จิ๋วสุดแจ๋ว’ เสริมแกร่งรายย่อย ‘เติมทุนคู่พัฒนา’

SME D Bank ออกสินเชื่อใหม่ ‘จิ๋วสุดแจ๋ว’ เสริมแกร่งรายย่อย ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ วงเงินกู้ 5 แสน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำ แถมรับประโยชน์ 2 ต่อ ลดค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย

SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย คลอดสินเชื่อใหม่ “จิ๋วสุดแจ๋ว” วงเงินรวม 500 ล้านบาท เสริมแกร่งผู้ประกอบการรายย่อย เข้าถึงแหล่งเงินทุน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินกู้สูงสุด 5 แสนบาทต่อราย คู่การพัฒนา รับสิทธิประโยชน์ 2 ต่อ ได้แก่ 1.ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ 1% เมื่อเข้าอบรมหลักสูตรความรู้ ผ่านแพลตฟอร์ม DX และ 2.ผ่อนดีมีวินัยลดดอกเบี้ยให้อีก 1%

นายประสิชฌ์ วีระศิลป์ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ “จิ๋วสุดแจ๋ว” สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย (MICRO) ที่มีศักยภาพต้องการเงินทุน แต่ขาดหลักประกันให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ เพื่อนำไปลงทุน ขยาย ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ หรือหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องธุรกิจควบคู่กับสนับสนุนเติมความรู้ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งเติบโตอย่างยั่งยืน

สินเชื่อ “จิ๋วสุดแจ๋ว” วงเงินรวม 500 ล้านบาท คุณสมบัติ สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจมาไม่น้อยกว่า 1 ปีก็กู้ได้ เปิดกว้างทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ธุรกิจการท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง เป็นต้น วงเงินกู้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น MLR+6 (ปัจจุบัน MLR อยู่ที่ 7.50% ต่อปี) หรือเฉลี่ย 1.125% ต่อเดือน ผ่อนชำระนานสูงสุด 5 ปี แบบลดต้นลดดอก เปิดรับคำกู้ตั้งแต่วันนี้ ถึงสิ้นสุด 28 กุมภาพันธ์ 2568 หรือจนกว่าจะหมดวงเงินโครงการ

ที่สำคัญ สินเชื่อนี้ นอกจากให้เงินทุนแล้ว ยังเติมความรู้และสร้างวินัยทางการเงิน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการมอบประโยชน์ 2 ต่อ คือ ต่อที่ 1 เมื่อเข้าอบรมหลักสูตรยกระดับเอสเอ็มอีจิ๋วสุดแจ๋ว ผ่านแพลตฟอร์ม DX (https://dx.smebank.co.th/) เช่น หลักสูตร Financial Literacy หรือหลักสูตรSustainable Business เป็นต้น จะได้เอกสารรับรองผ่านการอบรม (E-Certificate) พร้อมรับสิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ (Front End Fee) 1.0% ของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ และต่อที่ 2 สนับสนุนการสร้างวินัยทางการเงิน เมื่อผู้ประกอบการผ่อนชำระดีติดต่อกันต่อเนื่อง 12 งวด ได้รับสิทธิ์ขอลดอัตราดอกเบี้ย 1.0% ต่อปี

สนใจใช้บริการสินเชื่อ “จิ๋วสุดแจ๋ว” ผู้ประกอบการแจ้งความประสงค์ได้ง่าย ๆ เพียงสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มเพื่อนบน LINE Official Account : “DX by SME D Bank” จากนั้น กดแบนเนอร์สินเชื่อ เพื่อแจ้งความประสงค์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357

บทความแนะนำ

Gemio รองเท้าที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม

Gemio รองเท้าที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม

ครอบครัวของคุณแพร - อภิกษณา เตชะวีรภัทร นั้นทำธุรกิจรองเท้ามากว่า 50 ปี… หลังจบการศึกษาด้านภาษา แพรเลือกที่จะไปทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามสายงานที่เรียนมา ก่อนที่คุณพ่อจะชักชวนให้กลับมาทำธุรกิจของครอบครัวเต็มตัว ก่อนหน้านี้แพรเข้าใจว่ารองเท้าก็คือรองเท้า เพราะตอนเด็กรองเท้าอะไรแพรก็ใส่ได้หมด แต่พอได้เข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง แพรพบข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งว่าเท้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ดังนั้นรองเท้าจึงเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกับคนที่รูปเท้ามีปัญหา เพราะการเกิดปัญหากับเท้าจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกาย ซึ่งเป็นที่มาของการเลือกที่จะสร้างแบรนด์รองเท้าเพื่อสุขภาพ “Gemio” ขึ้นมา ด้วยแนวคิดที่ว่ารองเท้านี้ต้องตอบโจทย์ทั้ง “ฟอร์ม” และ “ฟังก์ชั่น” กล่าวคือ รองเท้าที่ดีต้องสวย และดูแลเท้าไปพร้อมๆ กัน  นอกเหนือจากเรื่องสุขภาพแล้ว Gemio ยังให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตของ Gemio จะใช้วัสดุรีไซเคิล และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การตลาดสีเขียวที่กำลังมาแรง

SME ONE : จุดเริ่มต้นของ Gemio เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

อภิกษณา : ที่บ้านทำธุรกิจรองเท้ามามากกว่า 50 ปีแล้ว ในชื่อแบรนด์ Snowflakes เป็นแนวรองเท้าผ้าใบ, รองเท้านักเรียน, รองเท้ากังฟู จริง ๆ ตอนนี้ Snowflakes ก็ยังทำอยู่มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นรองเท้าผ้าใบ แต่เป็นแนวสไตล์ลำลอง

ส่วนจุดเริ่มต้นของธุรกิจของ Gemio แพรเป็นรุ่นที่ 2 ต่อยอดจากของคุณพ่อที่เป็นโรงงานรองเท้า แพรเข้ามาต่อยอดธุรกิจครอบครัว แต่เราอยากจะพัฒนารองเท้าให้ดีขึ้น ให้ทันสมัย ใช้ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เลยตั้งแบรนด์ Gemio ขึ้นมา ด้วยความชอบในเรื่องของผ้าทอของชาวบ้านที่เขามีเอกลักษณ์ ขณะเดียวกันเราก็นำมาผลิตเป็นรองเท้าในวิธีการของเราให้มีความทันสมัยมากขึ้นและใส่ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

 

SME ONE : วันที่เข้ามารับช่วงกิจการ คุณอภิกษณาชั่งน้ำหนักระหว่างทำแบรนด์เก่ากับเริ่มต้นทำแบรนด์ใหม่อย่างไร

อภิกษณา : ตอนนั้นเราทำแบรนด์เก่าอยู่ เราพัฒนาแบรนด์เก่าขึ้นมา จากที่เรารับทำ OEM ด้วย แล้วผลิตเป็นแบบ Mass จำนวนเยอะ ๆ แล้วส่งขายภายใต้แบรนด์คนอื่น และของตัวเอง เรามองว่าธุรกิจมันต้องมีการพัฒนา แล้วจะทำอย่างไรให้เราสามารถที่ผลิตรองเท้าที่มีคุณภาพมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกันเราอยากทำเป็นอีกแนว คือ เป็นแนวรองเท้าสุขภาพที่มีความสวยงาม และใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ก็เลยเลือกที่จะพัฒนาขึ้นมาอีกแบรนด์หนึ่งขึ้นมา

 

SME ONE : ชื่อ Gemio มีความหมายว่าอะไร หรือมีที่มาอย่างไร

อภิกษณา : Gemio มาจาก Gemini ที่แปลว่าราศีคนคู่ แล้วเราใช้สัญลักษณ์หมีคู่ เป็นหมีขาวขั้วโลก เพราะเรามองว่าหมีโพลาร์แบร์ตัวนี้เขามีความแข็งแกร่ง มีความทนทาน แล้วก็มีความสง่างามที่ว่าเขาต้องอดทน คือสินค้าของเราเป็นรองเท้าที่เป็นคู่ เราทำในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย เราก็เลยมองว่าตัวของหมีสีขาวเป็นสัญลักษณ์ว่าน้ำแข็งละลาย เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันเซฟให้เขายังคงอยู่ เราก็เลยนำตัวมีโพลร์แบร์ตัวนี้มาเป็นสัญลักษณ์คู่กัน และแบรนด์นี้ทำกับพี่ชายก็เลยทำเป็นลักษณะของหมีที่เป็นคู่ 

จริง ๆ เราตั้งใจวาง Gemio ให้เป็นสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม วัสดุก็เป็นเรื่องของการใส่ใจสิ่งแวดล้อมกับ กับสินค้าเพื่อสุขภาพ คือ เน้นเป็นรองเท้าใส่สบาย และตอนนี้เราจะทำในเรื่องสุขภาพมากขึ้น

SME ONE : อยากให้อธิบายความหมายของรองเท้าเพื่อสุขภาพเพิ่มเติม

อภิกษณา : คือตอนแรก ๆ Gemio เน้นเรื่อง Comfortable แล้วเพิ่มขึ้นมาเป็น Health Care และต่อไปจะเป็นเรื่องออร์โธปิดิกส์ การตัดวัดรองเท้า แต่ยังไงก็ตามรูปแบบการทำยังคงมีความเป็นแฟชั่นทันสมัย ใส่ได้ง่ายอยู่ เพราะถ้ามองเป็นรองเท้าสุขภาพ บางทีมันอาจจะไม่สวย แต่เราจะประยุกต์ความเป็นแฟชั่นเข้ามาด้วย ขณะเดียวกันทรงของรองเท้าก็ต้องไปควบคู่กับการใส่สบาย แล้วก็ทำให้ความสมดุลในการเดินของเขาดีขึ้น

อนาคตเราจะมีการพัฒนาเรื่องรูปทรงรองเท้า ตอนนี้เราไปศึกษากับอาจารย์ที่เขาเชี่ยวชาญด้านการทำรองเท้าเพื่อการแพทย์ เป็นการตัดรองเท้าสำหรับผู้ป่วยที่กระดูกไม่เท่ากัน เป็นเรื่องของการสั่งตัด เพราะมันต้องมีการวัดเท้า มีการทำหุ่นรองเท้าใหม่ แล้วก็มีนวัตกรรมในเรื่องของสรีระ การหล่อแบบขึ้นรองเท้า อันนั้นคือเป็นขั้นต่อไป

 

SME ONE : กลับมาเรื่องสิ่งแวดล้อม Gemio ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมบ้าง 

อภิกษณา : ในกระบวนการผลิตของเรา เราจะใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือ ด้าน Upper จะเป็นผ้า แล้วพื้นรองเท้าจะเป็นการขึ้นรูปด้วยพื้นยางพารา แต่สิ่งที่เป็นนวัตกรรมของทาง Gemio ก็คือ เราใช้เศษวัสดุที่เหลือใช้อย่างเศษผ้า 

ถ้านึกถึงในเรื่องของการทำคัทติ้งรองเท้า มันจะมีข้างซ้ายข้างขวา เวลาตัดผ้าจะเหลือเศษผ้าค่อนข้างเยอะ ซึ่งปกติทุกโรงงานต้องทิ้งผ้าตัวนี้ออกไป แต่เรามองว่าการนำกลับมาใช้ใหม่ทำได้อย่างไรบ้าง ก็เลยมีการทดลองเอาเศษผ้าตัวนั้นมาขึ้นรูปใหม่ผสมลงไปในยางพาราซึ่งเราขึ้นรูปเองอยู่แล้ว แล้วก็ทดลองออกมาทำเป็นตัวยาง Eco 2 Surface เป็นยาง Eco ที่เราจดสิทธิบัตรขึ้นมา โดยยางตัวนี้หลังจากที่ผสมเศษผ้าลงไป ไม่ใช่แค่การจัดการ Waste แต่เป็นการเพิ่มคุณสมบัติของยางทำให้ยางมีความทนทาน และกันลื่นมากขึ้นด้วย 

คือเรามองจากอินไซต์ก่อนว่า เราสามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้ ขณะเดียวกันเศษวัสดุที่เป็น Waste ทำอย่างไรให้มันไม่ถูกทิ้งออกไปแล้วเป็นภาระกับสังคม เราก็เลยนำขยะที่อยู่ในโรงงานนำกลับมาใช้ใหม่ ผ้าไทยปกติที่ตัดออกมา ผ้าไทยก็มีเอกลักษณ์ มีคุณค่า คือก็แพงเหมือนกัน ถ้าตัดทิ้งไปก็เสียดาย ก็เลยนำกลับมาใช้ใหม่ 

 

SME ONE : ตอนเริ่มสร้างแบรนด์ Gemio เห็นโอกาสทางธุรกิจอย่างไร

อภิกษณา : เรียกว่าตอนต้น ๆ ไม่ได้คิดเลย จริง ๆ ในกระบวนการทำ เรามีการทำในเรื่องของการนำสิ่งที่ไม่ได้ใช้เอากลับมารีไซเคิลอยู่แล้วในกระบวนการตั้งแต่ Snowflakes แล้ว เพราะว่ายางที่ไม่ได้ใช้เราก็กลับมารีไซเคิลใหม่ ตัววัสดุบางอย่างก็นำกลับมาใช้ใหม่ แต่ของ Gemio เราพัฒนาให้เป็นจุดเด่นขึ้นมา แล้วก็ทำให้วัสดุที่ใช้เป็นตัวยาง Eco to Surface ทั้งหมด เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ของ Gemio ก็จะเป็นการนำตัวยางตัวนี้กลับมาใช้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งตอนทำตอนต้น ๆ ต้องบอกว่าไม่มีใครเข้าใจ เพราะว่าเขาก็มองว่าก็ไม่เห็นมีอะไรมันก็แค่ว่าเอากลับมาใช้ใหม่ 

เราก็ต้องอธิบายให้เขารับรู้ว่า สิ่งที่เรากำลังทำ ไม่ใช่แค่เฉพาะของเราหรือไม่ใช่แค่การนำขยะมาใช้ แต่เป็นการเพิ่มมูลค่าของขึ้นมา เพราะว่าเราทำเป็นพื้นรองเท้าที่มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันตัวยาตัวนี้สามารถจะไปต่อยอดออกแบบใหม่ ทำเป็นวัสดุ Accessories อื่น ๆ ได้อีก

 

SME ONE : อยากให้เปรียบเทียบ Gemio กับ Snowflakes ว่าสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ขนาดไหน ถ้าเทียบเป็นการขายต่อคู่

อภิกษณา : Snowflakes ราคาขายอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 800 บาท ที่เราคุมราคาไว้ เพราะเรามองว่า เราอยากให้ Snowflakes เป็นสินค้าคุณภาพดี ราคาไม่แพง ทุกคนสามารถใส่ได้ แต่ของ Gemio เราทำเป็นการพัฒนา Branding ขึ้นมา แล้วก็สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวรองเท้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ พร้อมกับการนำผ้าทอผ้าไทยมาใช้ ราคาสินค้าจะอยู่ที่ 1,500-3,000 บาทขึ้นไป เพราะการผลิตก็จะค่อนข้างยุ่งยากมากขึ้น การวางแพทเทิร์นผ้า การผสมยางตัวยากขึ้น การผลิตในแต่ละล็อตเราคุมคุณภาพมากขึ้น ไม่ได้ผลิตเป็น Mass อาจจะผลิตครั้งละ 60-80 คู่ต่อรุ่น เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้เน้นเรื่องของ Mass แต่เน้นใส่ใจในเรื่องการผลิต 

ขณะเดียวกันด้านสิ่งแวดล้อม ตัวโรงงานเราเองก็มีการ Certified ทำเรื่องของ Green Production ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เรา Certified ได้ตัว G ทอง ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เป็นระดับดีเยี่ยมของ Green Production เพราะเรามองว่าขั้นตอนการผลิตก็ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย วัสดุที่เราใช้ วัตถุดิบต่าง ๆ ไม่รบกวนหรือเป็นมลพิษที่ออกไปสู่ชุมชน แล้วก็มีการจัดการในระบบในการผลิต

 

SME ONE : ช่วงเริ่มต้นสร้างแบรนด์เจอปัญหาอะไรบ้าง แล้วแก้ปัญหาอย่างไร

อภิกษณา : ตอนต้น ๆ ถ้าเป็นเรื่องของการผลิตรองเท้าก็มีเรื่องลักษณะของวางแพทเทิร์นผ้า หรือว่าการนำผ้ามาใช้ รวมถึงการสื่อสารเพราะคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมสินค้ามันต้องราคาแบบนี้หรือสินค้าเราผลิตได้จำนวนไม่มาก เพราะเป็นเรื่องของการทดลองตลาดก็จะค่อนข้างยากนิดนึง เพราะรองเท้าสุขภาพเป็นเรื่องของฟิตติ้งทำให้การผลิตค่อนข้างยากนิดนึง เพราะว่าเราต้องคอยระวังในเรื่องของรูปทรง เรื่อง Body ขณะเดียวกันการออกไปสู่ตลาดก็ค่อย ๆ เข้าไป เราก็ไปออกบูธให้ลูกค้ารู้จักมากขึ้น 

 

SME ONE : กลุ่มเป้าหมายของ Gemio คือใคร

อภิกษณา : รองเท้า Gemio เป็นแบบ Unisex รองเท้าเราจะมีตั้งแต่ไซส์ 35-45, 46, 47 แล้วแต่รุ่น รองเท้า Slip-on สามารถใส่ได้ทั้งชายทั้งหญิง หรือถ้าเป็นรองเท้าคัทชูรุ่นสุขภาพก็จะเน้นกลุ่มผู้หญิงโดยตรง ประมาณอายุ 30+ แล้วสังคมสมัยนี้เป็นสังคมผู้สูงอายุ คนที่สูงอายุก็จริงแต่ว่าเขายังมีกิจกรรมหรือการที่เขาดูแลตัวเองทำให้เขาสามารถที่จะออกไปท่องเที่ยวได้ กลุ่มคนพวกนี้เขาก็จะเน้นในเรื่องของสินค้าที่มีความทันสมัยแล้วตอบโจทย์เรื่องสุขภาพด้วย เราก็จะได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี เพราะว่ากลุ่มพวกนี้เขายังคงแต่งตัวกันอยู่ แล้วยังต้องการเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การสวมใส่ 

ตัวแพรเองจะเป็นคนไปออกบูธเอง เราก็ต้องอธิบายให้ลูกค้าฟังว่าอันนี้เราเน้นในเรื่องของงานการคราฟต์งานผ้าทอ แล้วรองเท้าของเราเป็นพื้นยางพารา เป็นรองเท้าสุขภาพที่มีแผ่นอินโซลข้างใน เป็นแผ่นอินโซลที่เราพัฒนาขึ้นมาเอง เหมาะกับคนเอเชียที่หน้าเท้ากว้าง แล้วก็มีการรองรับอุ้งเท้าได้ดี ถ้าเทียบกับสินค้าจากต่างประเทศดีไซน์น์รองเท้าต่างประเทศจะเป็นสปอร์ต แต่บางทีลูกค้าก็ต้องการรองเท้าที่ใส่เข้ากับชุดของเขาได้ หรือบางทีเราทำเป็นแนวผ้าไทยสั่งตัด เขาก็สามารถใส่กับซิ่นได้ เสริมบุคลิก เราเน้นว่ารองเท้าเรา 1 คู่ใส่เที่ยวได้ ใส่ทำงานได้ แล้วเสริมบุคลิก และเหมาะกับการสวมใส่ของเขาด้วย  

 

SME ONE : ปัจจุบันคนไทยมีความรู้เรื่องรองเท้าเพื่อสุขภาพมากน้อยเพียงใด

อภิกษณา : รู้โดยรวมๆ แต่ไม่ได้รู้ลึก บางคนก็อาจจะประเมินไม่ถูกว่าจริง ๆ เขาเท้าแบนหรือเปล่า หรือ จริง ๆ High Arch (เท้าโค้ง) เขารู้แต่ว่าเขาปวดเท้าเวลาเดิน เพราะฉะนั้นเวลามาซื้อ หลายท่านอาจจะมีปัญหาในเรื่องที่ว่าไปลองมาหลายแบรนด์ ลองซื้อแผ่นรอง (Insole) มาใส่ อาจจะหายเมื่อยบ้างไม่หายบ้าง เรื่องเท้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นปัญหาสภาพเท้ามันมีทั้งที่เป็นตั้งแต่กำเนิด กับบางคนที่เป็นอาการเกิดจากการเจ็บป่วยเนื่องจากใส่รองเท้าผิดประเภทหรือการใช้งานหนัก

คนส่วนมากมักจะไปซื้อแผ่นรองมาใส่ เพราะรู้สึกใส่สบาย หรือบางคนก็ไปซื้อรองเท้าสุขภาพซึ่งไม่รู้ว่าสุขภาพจริงหรือเปล่า แต่ถ้าบางคนเท้าเขาผิดรูปแล้ว จริง ๆ จำเป็นต้องตัดรองเท้า แต่ถ้ายังไม่อยากตัด อาจจะต้องหารองเท้าที่เข้ากับรูปเท้าเขาได้ 

อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ บางคนอาจจะบอกว่าฉันชอบรองเท้านิ่ม ๆ แต่บางทีนิ่มเกินไปก็ไม่ดี เพราะว่านิ่มเกินไปเวลาเดินเท้ามันจะสะบัด เสร็จแล้วมันทำให้เท้าเราคอนโทรลสมดุลได้ไม่ดี ก็จะเมื่อยเท้า อันนี้บางคนก็อาจจะไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันชอบนิ่ม ใส่สบาย มันก็จะมีลักษณะทางกายภาพตรงนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 

SME ONE : ช่องทางการขายของรองเท้า Gemio ขายผ่านช่องทางไหนเป็นหลัก เพราะสินค้าต้องให้คำแนะนำ

อภิกษณา : Gemio ปัจจุบันยังเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพ ช่องทางการขายเราเน้นออกบูธเป็นหลัก คือเน้นให้ลูกค้ามาสวมใส่ มาลอง เพราะเราจะสามารถพูดคุยกับลูกค้าได้ ถ้าลูกค้ามาลองแล้ว ต่อไปพอมีรุ่นใหม่ เขาสามารถที่จะซื้อไซส์เดิมได้ หรือสามารถมาลองที่บูธได้ แล้วตอนนี้เราทำเป็นโชว์รูมขึ้นมา อยู่ที่ซอยเอกชัย 6 แยก 1 เอกชัย จอมทอง โดยลูกค้าสามารถมาลองที่โชว์รูมได้เลย และที่บอกว่าต่อไปเราจะมีการตัดรองเท้า ก็คือจะให้ลูกค้ามาตัดที่โชว์รูม  

ก่อนหน้านี้เราเคยมีขายในห้างสรรพสินค้า แต่ปัจจุบันเราไม่ได้ขายแล้ว และหันมาเน้นการออกบูธ และขายออนไลน์ แล้วก็จะให้ลูกค้าไปลองที่โชว์รูม อยากให้ลูกค้าเข้าใจแล้วมาลอง เพราะการไปลองในห้างมันวางสินค้าได้ไม่เยอะ 

 

SME ONE : เนื่องจากเป็นสินค้าเฉพาะทาง Gemio เคยเข้าไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐบ้างหรือไม่

อภิกษณา : เรามีร่วมกับทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือกับ DITP ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการพัฒนาตัวเอง แล้วก็พัฒนาสินค้าร่วมกันไป มีเข้าโครงการต่างๆ พัฒนาเรื่องดีไซน์หรือการออกแบบรองเท้า หรือในมุมมองของการทำตลาด ก็มีเข้าร่วมกับโครงการต่างๆ แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของกรมส่งเสริมศิลปาชีพ เกี่ยวกับเรื่องผ้าไทย ตอนนั้นเข้าโครงการแล้วก็มีการพัฒนาสินค้าร่วมกัน จริงๆ ภาครัฐก็ช่วยค่อนข้างเยอะ เพราะว่าเราก็เข้าร่วมกับหลาย ๆ โครงการ แล้วก็มีการพัฒนาสินค้า พัฒนาความรู้เพิ่มขึ้น 

 

SME ONE : อะไรคือ Key Success Factors ของรองเท้า Gemio 

อภิกษณา : อาจจะด้วยที่เราทำรูปแบบและวัตถุดิบเราไม่เหมือนคนอื่น เพราะเรามองว่าการออกแบบรองเท้า 1 คู่ ใช้ได้ทั้งไปเที่ยว ไปทำงาน ทำให้มีลักษณะที่แตกต่างจากคนอื่น แล้วเราก็เน้นการสวมใส่ที่สบาย และเน้นการบริการลูกค้า จนทำให้ลูกค้าบอกต่อ และมาซื้อซ้ำ คือแพรไม่ได้ทำจำนวนเยอะ ทำเป็นล็อต หรือพรีออเดอร์ ลูกค้าจะชื่นชมสินค้าเราว่ามีรูปแบบที่ทันสมัย ไม่เหมือนใคร 

อีก Key Success ของเราคือการนำวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ ขณะเดียวกันเราช่วยสังคมในการใช้ผ้าทอ ใช้ยางพารา แล้วก็เป็นระบบการผลิตแบบดั้งเดิมที่เราต่อยอดขึ้นมา รองเท้าของเรา 1 คู่ มีทั้งแฟชั่นและฟังก์ชั่น เพราะเราทำในเรื่องสุขภาพเสริมเข้ามา รองเท้าสุขภาพทั่วไปอาจจะไม่สวย แต่ของเรามีดีไซน์ ขณะเดียวกันรองเท้าทั่วไปที่สวยๆ ก็อาจจะใส่ไม่สบาย แต่ของเราใส่สบายด้วยสวยด้วย 

 

SME ONE : คุณอภิกษณาอยากจะจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร

อภิกษณา : อย่างที่บอก แพรอยากทำเป็น Community เล็ก ๆ ทำเป็นโชว์รูมขึ้นมา เพื่อที่จะถ่ายทอดการตัดรองเท้าที่เหมาะกับคนเอเชีย หรืออาจจะไม่เฉพาะคนเชียก็ได้ เพราะว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมการทำรองเท้า เราก็อยากจะต่อยอดต่อจากคุณพ่อ แล้วก็เสริมในเรื่องการเอาเทคโนโลยีของการตัดรองเท้าของอาจารย์ที่ทำในเรื่องการตัดรองเท้าสำหรับผู้ป่วย เพราะว่ารองเท้าทั้งคู่อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน 

การต่อยอดตรงนี้เรามองว่าเราสามารถที่จะตอบโจทย์คนที่เท้ามีปัญหา คนที่เป็นผู้ป่วยแต่เขาต้องการรองเท้าที่ไม่ใช่สำหรับผู้ป่วย คือใส่แล้วเขายังรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนคนทั่วไป ซึ่งตรงนี้สามารถที่จะต่อยอดต่อไปได้อีก เรื่องที่ทำให้คุณภาพชีวิตคนดีขึ้น เช่น ถ้ามองไปไกล ๆ ผู้ป่วยเป็นเบาหวานบางคนที่อาจจะต้องตัดเท้า แต่ถ้าเขาเริ่มต้นดูแลตรงนี้ก่อน มันอาจจะช่วยบรรเทาให้เขาดีขึ้นในเรื่องของเท้า เขาอาจจะไม่จำเป็นต้องไปถึงขนาดขั้นนั้น

พูดตรง ๆ ในเรื่องของรองเท้าดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าคนที่ใส่ใจเรื่องนี้ มันคือพื้นฐานของการเดิน เขาสามารถที่จะซ่อมแซมร่างกายได้โดยพื้นฐานมาจากการใช้รองเท้าที่ถูกต้องและเหมาะสมกับเขา คือแพรอยากทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นจากการที่เขาได้ใส่รองเท้าที่เหมาะสม แล้วช่วยให้สุขภาพเขาดีขึ้นด้วย 

แพรเข้าใจว่าลูกค้าบางคนที่มาหาเรามีปัญหาเยอะแต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอะไร ปัญหาตรงนั้นอาจจะแก้ได้ไม่ยากก็ได้ถ้าเขาเข้าใจ เพราะเขาอาจจะไปลองผิดลองถูกมาหลายที่ เราอาจจะไม่ได้โปรโมเยอะจนทำให้เขาต้องมาที่นี่ แต่ต่อไปเราจะค่อย ๆ ขยายให้ลูกค้ารู้จักและบอกต่อ เพราะที่ตัดรองเท้าให้ลูกค้าไป เขาก็รู้สึกว่ามันดีและทำให้ชีวิตเขาเดินต่อได้ เราถึงใช้สโลแกนของ Gemio ว่า “You Move, We Support” คือเราจะซัพพอร์ตให้คุณออกไปใช้ชีวิตได้อย่างดีต่อไป 

ในอนาคตเราอาจจะมีเพิ่มช่องทางขาย อย่างคลินิกพิเศษ หรือโรงพยาบาลแผนกออร์โธปิดิกส์ เพราะเราเคยคุยกับอาจารย์ที่ทำรองเท้าอยู่มหาวิทยาลัยมหิดล เรามองว่าเราจะใช้ประสบการณ์ในการตัดรองเท้าให้ผู้ป่วยที่มาหาเราเป็นตัวรับประกัน เป็นตัวบอกว่ามันได้ผลจริง ขณะเดียวกันในอนาคตแพรมองว่าเราก็จะทำเป็นเซ็นเตอร์เรื่องเท้าขึ้นมา แล้วก็อาจจะมีการร่วมมือกับทางโรงพยาบาล เพราะว่าก็อยากทำรองเท้าให้กับผู้ป่วยให้เขาใส่รองเท้าสวย แต่ถูกต้องตามรูปเท้า

 

SME ONE : อะไรคือความท้าทายของ Gemio 

อภิกษณา : ความท้าทายคือการทำรองเท้าที่ค่อนข้างยาก เพราะมันเป็นเรื่องฟิตแอนด์เฟิร์ม เป็นเรื่องของคน ตัวแพรเอง พี่ชาย และอาจารย์ ก็พยายามทำรองเท้าสุขภาพตรงนี้ขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าของเราใช้แล้วตอบโจทย์อะไรบ้าง 

อีกความท้าทาย คือจะทำอย่างไรให้คนเชื่อถือ เพราะ Gemio เราพัฒนาจาก Comfortable มา Health Care แล้วในเรื่องของการตอบโจทย์กลุ่มสุขภาพ ลูกค้ามีทางเลือกเยอะมาก ในท้องตลาดตอนนี้รองเท้าสุขภาพเยอะมาก แต่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแบบไหนที่ลูกค้าต้องการ อันนี้ก็แล้วแต่บุคคล เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายค่อนข้างมากเหมือนกันว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและเชื่อใจเรา ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายที่ทำให้ทางแพรเองก็ต้องศึกษาให้มากขึ้น

 

SME ONE : อยากให้คุณอภิกษณาให้คำแนะนำคนที่อยากจะเริ่มทำธุรกิจแบบ SMEs

อภิกษณา : แพรมองว่าการทำธุรกิจไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซะทีเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือความตั้งมั่น และความทุ่มเทในการทำ แพรเองมองว่าไม่จำเป็นต้องทำให้มันใหม่ ต้องโตหรือต้องตามใคร แต่เราทำในสิ่งที่เราพอใจและมีความสมดุลของเรา เพื่อที่เราจะมีความเข้มแข็งที่เราจะค่อย ๆ เดินและพัฒนาต่อไป 

 

บทสรุป

ความสำเร็จของ Gemio อยู่ที่มุมมองในการทำธุรกิจของคุณอภิกษณา ที่เชื่อในเรื่องของการสร้างแบรนด์ โดยอาศัยการต่อยอดจากธุรกิจครอบครัวเดิมที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าป้อนตลาด Mass และรับจ้างผลิตแบบ OEM มาก่อน

การสร้าง Brand Value ของ Gemio คุณอภิกษณามีการมองหา Unique Selling Point ใหม่ให้กับตัวสินค้า เพื่อสร้างเอกลักษณ์โดดเด่น มีจุดยืน ทำให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ เช่น ยาง Eco 2 Surface ซึ่งเป็นวัสดุที่ทางแบรนด์คิดค้นขึ้นมาเอง และการเลือกใช้วัสดุอย่างผ้าทอพื้นเมือง ที่มีลวดลายการทอที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้รองเท้า Gemio มีทั้งความสวยงาม และคุณสมบัติของรองเท้าเพื่อสุขภาพ

 

บทความแนะนำ