แฟรนไชส์อาหาร ขายอะไรยังไปต่อได้ในช่วงวิกฤติ

หัวข้อ : 10 แฟรนไชส์อาหาร ที่ยังไปได้ดีแม้เศรษฐกิจผันผวน
อ่านเพิ่มเติม : https://www.bangkokbanksme.com/en/franchise-food-investment

 

การขายอาหารการกินไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีตกยุค ยิ่งเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีและมีธุรกิจตัวกลางคอยเชื่อมโยงร้านอาหารกับกลุ่มลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ การเติบโตทางการตลาดจึงเป็นไปอย่างดี โดย Euromonitor รายงานว่าในช่วงปี 2013-2018 ยอดขายธุรกิจบริการอาหาร (Food service) ของไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 4% ต่อปี 

สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจอาหาร แฟรนไชส์อาหารเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ จากแนวโน้มของตลาดที่ให้การตอบรับดีต่อเนื่อง ทั้งนี้ ก่อนจะเริ่มต้นธุรกิจอย่าลืมที่จะพิจารณาถึงผลเสียและความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ที่จะได้รับอย่างรอบคอบ เพื่อวางแผนรับมือกับสิ่งที่จะตามมาในอนาคตได้

ผู้ที่สนใจเแฟรนไชส์อาหาร นี่คือ 10 แฟรนไชส์ที่ยังไปได้ดีในยุคนี้

 

1. แฟรนไชส์น้ำปลาหวาน จิ้มแกล้มกับผลไม้

  • ราคาเริ่มต้นแฟรนไชส์เพียง 10,000 บาท
  • งบประมาณอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับทุนและการจัดการร้านตามที่มี เช่น การตกแต่งร้าน การเลือกผลไม้กินแกล้มน้ำปลาหวาน

 

2. เนื้อย่างเสียบไม้ มีแนวคิดมาจากความนิยมทานเนื้อแบบปิ้งย่างของคนไทย เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการทานแบบสะดวก พออิ่มท้อง และไม่อยากจ่ายเยอะ

  • ปัจจุบันมีให้เลือกร่วมทุนหลายเจ้าด้วยกัน 
  • งบในการดำเนินการประมาณ 3,000 – 15,000 บาท

 

3. เครป ขนมทานเล่นยอดนิยมมานานยังคงไปได้ดี

  • มีหลายแบรนด์แฟรนไชส์ให้เลือกหลากหลายแล้วแต่จุดขายที่สนใจ 
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 15,900 – 60,000 บาท ขึ้นอยู่กับแบรนด์และอุปกรณ์ส่งเสริมการขายของแบรนด์นั้นๆ 

 

4. หม่าล่า อาหารปิ้งย่างเคลือบน้ำจิ้มรสเผ็ด ได้รับความนิยมมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

  • วัตถุดิบที่นำมาปิ้งย่าง เช่น เนื้อ ไก่ เอ็น ไส้กรอก ฯลฯ
  • แต่ละแบรนด์แตกต่างกันตรงที่เทคนิคการหม่าให้ได้ที่และรสชาติน้ำจิ้ม
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 1,200 -30,000 บาท

 

5. เฟรนช์ฟรายส์ อาหารทานเล่นที่บริหารจัดการได้ไม่ยาก

  • ปัจจุบันมีหลายรสชาติ และหลายแบรนด์แฟรนไชส์ให้เลือกลงทุน 
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 25,000 – 200,000 บาท

 

6. ซูชิ อาหารจากญี่ปุ่นที่ถูกปากคนไทยมานาน

  • มีตั้งแต่สเกลเล็ก ๆ เป็นซุ้มหน้าร้าน ไปจนถึงร้านนั่ง เน้นขายความสดใหม่
  • คิดราคาเป็นคำ 
  • หลายเจ้าให้เลือกลงทุน ความอร่อยจะแตกต่างกันตรงการปรุงรสข้าว
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 4,000 – 35,000 บาท 

 

7. ก๋วยเตี๋ยว ยังไปได้ในทุกยุคเศรษฐกิจ

  • มีให้เลือกลงทุนไม่ต่ำกว่า 20 แบรนด์ 
  • แต่ละแบรนด์ล้วนมีเอกลักษณ์ที่วัตถุดิบ เช่น น้ำซุป เส้น การตุ๋นเนื้อ เครื่องปรุง รสชาติลูกชิ้น ฯลฯ ที่แตกต่างกัน
  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 50,000 – 150,000 บาท 

 

8. ส้มตำ ยำแซ่บ อีสานยกชุด อาหารที่คนไทยทานได้ไม่เบื่อ

  • มีตั้งแต่เมนูส้มตำที่หลากหลาย ยำรสจัดจ้าน แจ่ว อ่อม ไก่ทอด ไกย่าง ฯลฯ
  • เริ่มต้นลงทุนแฟรนไชส์ได้ตั้งแต่ 19,000 – 70,000 บาท

 

9. สเต๊ก สามารถคืนทุนได้เร็ว หากทำเลดีและเลือกลงทุนแฟรนไชส์ดี

  • งบในการดำเนินการแตกต่างกันแต่ละแบรนด์

 

10. ชาบู มีทั้งแบบจัดเป็นชุดบุฟเฟต์ หรือเสียบไม้

  • ชุดลงทุนแฟรนไชส์ตั้งแต่ 7,500 – 2,000,000 บาท

 

ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารเป็นสินค้าที่มีผลกำไรต่อหน่วยน้อย ต้องอาศัยการขายในจำนวนมาก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงนอกเหนือไปจากทุน จุดคุ้มทุน และผลกำไรแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ผู้ประกอกการต้องใส่ใจด้วย เช่น

– การพิจารณาเรื่องทำเลที่ตั้ง เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจไปได้ไกล

– วัตถุดิบอาหารต้องสดใหม่และมีอายุในการเก็บรักษา จำต้องหมุนเวียนเปลี่ยนถ่ายทุกวัน

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

ทำธุรกิจความงามพลาดไม่ได้ เทรนด์ผู้ชายใส่ใจตัวเอง

หัวข้อ : เทรนด์ชายต้องหล่อมาแรง ดันตลาดความงามโต
อ่านฉบับเต็มเพิ่มเติม : https://www.kasikornbank.com/th/TrendMan.pdf

 

ตลาดความงามโดยรวมกำลังเติบโต จากพฤติกรรมคนไทยที่หันมาดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกาย ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันผู้ชายก็หันมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับการดูแลภาพลักษณ์และบุคคลิกมากขึ้น กลุ่มลูกค้าผู้ชายจึงเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสินค้า บริการ หรือต่อยอดธุรกิจความงามจากเดิมสินค้ายอดฮิตของตลาดความงามผู้ชาย เป็นสินค้าที่เกี่ยวกับการดูแลร่างกาย (Men’s Grooming) เติบโตเฉลี่ยประมาณ 6.4% ต่อปี ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น และมีอัตราเติบโตสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

  1. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องน้ำและหลังการอาบน้ำ มีสัดส่วนประมาณ 75.2% ของผลิตภัณฑ์เพื่อความงามผู้ชาย เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผลิตภัณฑ์อาบน้ำและผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย โดยตลาดนี้มีการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี
  2. ผลิตภัณฑ์โกนหนวด มีสัดส่วนประมาณ 14.5% และมีการเติบโตเฉลี่ย 3.7% ต่อปี
  3. ผลิตภัณฑ์น้ำหอม มีสัดส่วนประมาณ 10.3% และมีการเติบโตเฉลี่ย 4.9% ต่อปี

 

 

โดยตลาดความงามผู้ชายส่วนใหญ่เติบโตจากกลุ่มผู้ชายอายุระหว่าง 20-39 ปี หรือกลุ่มมิลเลนเนียลส์ (Millennials) ที่เริ่มสนใจดูแลบุคลิกภาพของตนเอง และเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการเกี่ยวกับความงามค่อนข้างสูง โดยพฤติกรรมของกลุ่มมิลเลนเนียลส์ที่สำคัญ มีดังนี้

ไม่ยึดติดกับตราสินค้า และไม่ได้ยึดปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก

  • ผู้ชายกลุ่มมิลเลนเนียลส์ชอบที่จะทดลองและเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการ หรือไลฟ์สไตล์ของตนเอง
  • มีความคาดหวังถึงประสบการณ์ที่ดีทางด้านคุณภาพและการบริการ
  • ถ้าเป็นคลินิกความงาม ผู้ใช้บริการทั่วไปอาจตัดสินจากความเชื่อถือในตัวแพทย์ผู้ให้บริการ แต่กลุ่มนี้ก็พร้อมจะไปลองใช้บริการในสถานที่ใหม่ ตามคำแนะนำของญาติ เพื่อน หรือที่มีการกล่าวถึงในโลกโซเชียล
  • หากเกิดความประทับใจในสินค้าหรือบริการ ก็อาจปรับเปลี่ยนไปใช้ของแบรนด์ใหม่ได้
  • หากสินค้าหรือบริการของแบรนด์ที่ใช้อยู่ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ ก็อาจเปลี่ยนใจได้เช่นกัน

สืบค้นข้อมูลก่อนตัดสินใจ

  • จะมีการหาข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับคุณสมบัติของตัวสินค้า
  • มีการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพสินค้า รวมถึงติดตามการรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการเพิ่มมากขึ้น

สนใจสินค้าที่มีนวัตกรรม

  • สนใจในสินค้าดูแลร่างกายที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีหรือสารที่ก่อให้เกิดการแพ้
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติหลายด้านในหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อลดขั้นตอนการใช้ และต้องเห็นผลเร็ว แต่ก็ต้องมีความปลอดภัยได้มาตรฐานตามที่กำหนด
  • บรรจุภัณฑ์ควรแสดงความเป็นตัวตนของผู้ชาย หรือตามเทรนด์ที่นิยม

ราคาที่สมเหตุสมผล

  • แม้จะมีความกล้าที่จะใช้จ่าย แต่จะจ่ายในสิ่งที่เห็นว่ามีความคุ้มค่า
  • สำหรับสินค้าที่มีส่วนผสมพิเศษ ที่มีการรับรองถึงประสิทธิภาพ ถึงจะมีราคาสูงก็ได้รับความสนใจ
  • การรักษาคุณภาพสินค้าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญต่อความน่าเชื่อถือ และการซื้อครั้งต่อไป

 

ตลาดสินค้าความงามสำหรับกลุ่มผู้ชายในไทยเริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้น เพื่อลดการแข่งขันตลาดในประเทศ ผู้ประกอบการควรให้ความสนใจกับตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่แม้ว่ามูลค่าตลาดความงามสำหรับผู้ชายอาจยังไม่สูงมากนัก แต่ก็มีการเติบโตต่อเนื่อง และยังมีเรื่องของข้อได้เปรียบที่สำคัญของสินค้าและบริการของไทยก็คือ ผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้านต่างมีการติดตามเทรนด์ทางด้านความงามของไทย และมีความเชื่อถือในคุณภาพรวมถึงความคุ้มค่าของสินค้าและบริการจากไทยค่อนข้างสูง

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

จับเทรนด์อาหารยุคใหม่ ทางเลือกเพื่อเพิ่มรายได้

หัวข้อ : SME จับเทรนด์อาหารอนาคตสร้างรายได้
อ่านเพิ่มเติม : https://kasikornbank.com/th/business/sme/SME_Analysis_FutureFood.pdf

 

อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่กระทบกับการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตความมั่นคงด้านอาหาร การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรโลก ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ส่งผลต่อเทรนด์การบริโภคในระยะข้างหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะพัฒนาอาหารเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคตมากขึ้น

 

 

เทรนด์อาหารในอนาคตที่น่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย ได้แก่

1. อาหารพืชแบบธรรมชาติ (Plant-Based Food)

เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบจากพืชในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ โดยไม่ผ่านการขัดสีหรือกระบวนการเก็บถนอมอาหารใดๆ ทั้งผักผลไม้ รวมไปถึงวัถุดิบอื่นๆ คาดว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้สูงอายุ กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (Vegan) รวมไปถึงกลุ่มผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการบริโภคอาหารบางกลุ่ม เช่น ไขมัน น้ำตาล เป็นต้น

โอกาสของผู้ประกอบการที่สนใจอาหารพืชแบบธรรมชาติ

– ควรมุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าพืชเกษตรในรูปแบบออร์แกนิค (ที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิต) ธัญพืชกลุ่มที่มีประโยชน์สูงต่อสุขภาพ หรือ Super Food

– ต้องมีการพัฒนาและมองหาวิธีการนำเมล็ดพันธุ์พืชมาต่อยอดผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การสกัดเป็นน้ำมัน/ผง ตลอดจนนำมาแปรรูปเพื่อทดแทนอาหารแบบเดิม ซึ่งนอกจากจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศแล้ว ยังสามารถขยายกิจการสู่การส่งออกได้อีกด้วย

– กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ คือ กลุ่มผู้บริโภค Vegan และกลุ่มร้านอาหารเพื่อสุขภาพ

 

2. อาหารจากแมลง (Insect Food)

ปัจจุบันองค์การสหประชาชาติ (UN) ประกาศให้แมลงเป็น Super Food ที่มีประโยชน์และสารอาหารสูง โดยในหลายประเทศเริ่มยอมรับการใช้แมลงเป็นอาหารโปรตีนสำรอง และมีประชากรโลกราว 2,000 ล้านคนที่รับประทานแมลงเป็นอาหาร แมลงจึงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าในกลุ่มอาหารศักยภาพที่น่าสนใจในการเจาะตลาดผู้บริโภค การส่งออกแมลงไปจำหน่ายทั่วโลก สามารถผลิตได้ง่ายในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังสามารถแปรรูปเป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงได้อีกด้วย

โอกาสของผู้ประกอบการที่สนใจอาหารจากแมลง

– นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาทำฟาร์มเพาะเลี้ยงในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะมีอากาศที่เหมาะสม

– แมลงที่ตลาดมีความต้องการสูง ได้แก่ จิ้งหรีด รถด่วน ตั๊กแตน ดักแด้ ฯลฯ

– ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม คือ กลุ่มแมลงทอดหรืออบ แมลงแช่แข็ง

– ช่องทางการจำหน่ายที่มีศักยภาพในระยะต่อไป คือ ตลาดส่งออก โดยตลาดที่มีความต้องการสินค้ากลุ่มนี้สูงได้แก่ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป

 

3. อาหารจากท้องถิ่น (Localisation)

คืออาหารที่มาจากท้องถิ่น หรืออาหารที่มีความสดใหม่จากธรรมชาติ ส่งจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง ใช้กำลังการผลิตในปริมาณไม่มาก และมีเรื่องราวที่น่าสนใจและสร้างสรรค์ โดยอาหารกลุ่มนี้เริ่มมีความต้องการจากตลาดผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นในต่างประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารรายใหญ่เริ่มหันมานำเสนอสินค้าที่มีความเป็นท้องถิ่นพิเศษ ซึ่งจะเลือกผลิตหรือจำหน่ายในช่วงเวลาและปริมาณที่จำกัด เพื่อนำเสนอให้ผู้บริโภคเห็นถึงความพิเศษและมีคุณภาพสูงของสินค้า

โอกาสของผู้ประกอบการที่สนใจอาหารท้องถิ่น

– วัตถุดิบอาหารและอาหารในไทยค่อนข้างได้เปรียบ เพราะประเทศไทยมีเอกลักษณ์และความเป็นพื้นถิ่นสูง ช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ได้มากขึ้น

– กลุ่มสินค้าที่ตลาดต้องการ คือ ผลิตภัณฑ์อาหารของไทยได้ขึ้นทะเบียนตราสัญลักษณ์ GI เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ทุเรียนนนท์ สับปะรดภูแล มะขามหวานเพชรบูรณ์ ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน ฯลฯ

– ผลิตภัณฑ์จากผลไม้และสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวน้ำหอม ทุเรียน/ขนุนแปรรูป (ทอดกรอบ) น้ำผึ้งดอกลำไย รวมถึงเครื่องแกงหรือเครื่องปรุงรสไทย

– การเพิ่มนวัตกรรมอาหารเข้าไปในผลิตภัณฑ์ หรือสร้างเรื่องราวของสินค้าให้น่าดึงดูดหรือให้แบรนด์ดูมีคุณค่ามากขึ้นด้วย

 

 

จากเทรนด์อาหารในอนาคตและโอกาสทางการตลาด ที่ได้กล่าวไป ผู้ประกอบการควรหันมาให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมอาหารมาปรับใช้ในการผลิตให้มากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างและสร้างความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการรักษาคุณภาพด้านการผลิต และที่สำคัญสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ก็คือ การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการผลิตสินค้าที่ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ (Traceability) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค

 

การปรับธุรกิจให้ทันเทรนด์อาหารยุคใหม่นี้อาจไม่ใช้เรื่องง่าย เพราะเป็นการผลิตอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง มีความสลับซับซ้อน ผู้ประกอบการจึงควรศึกษาหาข้อมูลและมองหาลู่ทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือหาแนวร่วมจากองค์กรภาครัฐที่สนับสนุน เช่น

– เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ที่ส่งเสริมหรือเชื่อมโยงความช่วยเหลือเกี่ยวกับเครือข่ายผู้ประกอบการ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์ http://foodinnopolis.or.th/

– สถาบันอาหาร (National Food Institute) บริการด้านการตรวจ วิเคราะห์การทดสอบ และการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหาร ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการ

– อาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการในธุรกิจ-ต่างธุรกิจ สถาบันวิจัยหรือสถาบันการศึกษาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาผลิตภัณฑ์

 

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

C-commerce ทางเลือกสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์

หัวข้อ : C-commerce ทางเลือกใหม่ของธุรกิจออนไลน์
อ่านเพิ่มเติม : https://www.bangkokbanksme.com/en/c-commerce-online-business-options

 

 

C – Commerce เป็นการซื้อขายผ่านช่องทางแชทเป็นหลัก ย่อมาจาก Conversational Commerce ซึ่งก็คือ การแชทคุยกันเพื่อซื้อขายนั่นเอง โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการซื้อขาย การปิดการขาย ไปจนถึงบริการหลังการขาย

 

เหตุผลที่ผู้ประกอบการชื่นชอบ C – Commerce ?

  • เป็นรูปแบบการขายแบบใหม่ที่เน้นความง่าย สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ผู้ซื้อในทุกเรื่องราวที่ต้องการ
  • ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้น หากได้พูดคุยกับผู้ขายโดยตรง เพราะได้ความใกล้ชิด ความเป็นกันเอง ทำให้รู้สึกได้ใกล้ชิดแบรนด์มากขึ้น
  • ลูกค้าเกิดความเชื่อใจ และรู้สึกดีต่อแบรนด์ เพราะสามารถเห็นภาพ สินค้าจริงๆ ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
  • ผู้ขายปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เพราะสามารถบอกข้อมูลสินค้า รวมถึงกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้ด้วยตัวเอง

 

ทำไม C-commerce ถึงน่าสนใจในประเทศไทย ?

จากผลสำรวจ คนไทยใช้งานร้านค้าออนไลน์มากที่สุด (ใน 9 ประเทศ) ซึ่งคนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงถึงวันละ 9 ชั่วโมง คนไทยนิยมใช้งานแอปพลิเคชันเกี่ยวกับการแชทในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นไลน์ (Line) หรือ แมสเซ็นเจอร์ (Messenger) ส่งผลให้ติดพฤติกรรมการแชท และกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานในการทำสิ่งต่าง ๆ ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อสินค้า

 

การติดต่อแบบสองช่องทาง (Two way communication)

ทำให้คนไทยกล้าที่จะเปิดใจใช้บริการต่างๆ ง่ายขึ้น เพราะเรื่องของอีคอมเมิร์ช  ( E-Commerce) ในประเทศไทยนับเป็นเรื่องที่ใหม่ เพราะคนไทยพร้อมที่จะเรียนรู้ใช้งานสิ่งใหม่ ๆ ขอแค่มีคนให้คำแนะนำ การแชทจึงทำให้เชื่อมั่นในระบบได้มากขึ้นกว่าเดิม และเกิดการซื้อสินค้าอย่างง่ายดาย

 

สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องใช้กลยุทธ์การซื้อขายผ่านช่องทางแชท (C – Commerce) ให้ได้ประสิทธิภาพ สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

– กำหนดบุคลิกแบรนด์ว่าต้องการให้แบรนด์ของเรามีลักษณะอย่างไร เช่น สุภาพทางการ หรือ สนุกสนานเป็นกันเอง เป็นต้น

– คิดชุดคำตอบสำรองไว้สำหรับคำถามทั่วไป ที่ลูกค้ามักถามเข้ามาบ่อย เช่น หากลูกค้าถามเกี่ยวกับราคา ผู้ประกอบการควรมีชุดคำตอบสำหรับราคาเตรียมไว้ เพื่อการตอบได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้องแม่นยำ

– ตอบแชทให้เร็วที่สุด จะทำให้ลูกค้าชื่นชอบ และผู้ประกอบการสามารถที่จะปิดการขายได้รวดเร็วยิ่งขึ้นหากไม่สามารถตอบแชทได้ตลอด 24 ชั่วโมง ควรตั้งค่าการตอบแบบอัตโนมัติ ระบุเวลาทำการของร้าน ให้ลูกค้าได้ทราบไว้ล่วงหน้า

– ตอบคำถามให้ละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจและช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

– สุดท้ายการซื้อขายผ่านช่องทางแชท (C – Commerce) จะอยู่คู่กับชาวออนไลน์ไปอีกนาน โดยเฉพาะกับคนยุคใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนและการแชท

ดังนั้น ผู้ประกอบการและนักการตลาดควรเน้นการซื้อขายผ่านช่องทางแชท (C – Commerce) ในธุรกิจตนเอง เพราะข้อดีมีมากทีเดียว ทั้งการเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้โดยไม่รู้ตัว

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ

รู้ให้อยู่รอด กับเทรนด์ช้อปปิ้งของไทยในวิถี “New normal” สู่สังคมไร้เงินสด

หัวข้อ : แผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงินฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562 – พ.ศ.2564)
อ่านฉบับเต็มเพิ่มเติม : https://www.bot.or.th/Thai/PaymentSystems/PolicyPS/Documents/PaymentRoadmap_2564.pdf

 

Covid-19 ทำให้เราเห็นถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนทั่วโลก ที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จนเกิดเป็นวิถีชีวิตใหม่ หรือ นิว นอร์มอล (New normal) ได้ชัดเจน จากในช่วงปีที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยได้เผยถึงข้อมูลการใช้เงินของคนไทย จะพบว่าคนไทยหันมาใช้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ digital payment กันเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการจ่าย โอนเงิน ผ่านมือถือ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 116 ต่อปีทีเดียว เรียกได้ว่าเราได้ก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดกันแล้ว หลังจาก Covid-19 คาดว่าตัวเลขนี้จะยิ่งสูงเพิ่มมากขึ้นไปอีก

บริการชำระเงินอย่าง ระบบพร้อมเพย์ ที่ช่วยเราสามารถโอนเงินด้วยเบอร์มือถือ เลขประจำตัวประชาชน เลขทะเบียนนิติบุคคล หรือหมายเลข e-Wallet ได้สะดวก รวดเร็ว และค่าบริการต่ำ ได้รับความนิยมใช้เพิ่มสูงขึ้นมาก ยอดลงทะเบียนพร้อมเพย์ที่สูงถึง 46.5 ล้านหมายเลข (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2561) และมีการใช้งานเฉลี่ยสูงถึง 4.5 ล้านครั้งต่อวัน

ทำไม SME ถึงควรหันมาใช้ digital payment

– พร้อมเพย์ได้มีการพัฒนาต่อยอดให้เกิดบริการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย เช่น บริการชำระบิลข้ามธนาคาร (cross-bank bill payment) ซึ่งทำให้เราสามารถจ่ายบิลทุกธนาคารที่รองรับผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยมาตรฐาน Thai QR Payment
– Thai QR Payment ที่สะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ ทำให้ digital payment สามารถเข้าถึง SMEs และร้านค้าขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าในตลาด หาบเร่ แผงลอย ได้อย่างรวดเร็ว
– สามารถต่อยอดการพัฒนามาตรฐาน Thai QR payment ไปสู่การให้บริการชำระเงินระหว่างประเทศ บริการเตือนเพื่อจ่าย (PayAlert)
– ร้านค้าสามารถรับชำระเงินด้วยบัตรหรือโทรศัพท์มือถือได้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงและปลอดภัยมากขึ้น
– ช่วยให้ร้านค้าสามารถรับเงินจากลูกค้าได้หลายช่องทาง

 

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งในเรื่องของการช้อปปิ้งออนไลน์ และเลือกชำระเงินแบบไร้เงินสดที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรนำมาใช้ปรับแผนการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยการมุ่งทำตลาดออนไลน์ และมีช่องทางชำระเงินออนไลน์ อย่าลืมพิจารณาในเรื่องของราคาสินค้าที่ดึงดูดใจ และโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้คนอยากซื้อสินค้าได้อีกทางหนึ่ง

 

Published on 24 September 2020
SMEONE เพิ่มโอกาสให้ SME ไทย

 

บทความแนะนำ