kenkoon เฟอร์นิเจอร์ครบรสทั้งในบ้านและนอกบ้าน

kenkoon เฟอร์นิเจอร์ครบรสทั้งในบ้านและนอกบ้าน 

เมื่อปัจจุบันเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้ถูกจำกัดเพียงเพื่อการใช้ภายในอาคารแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป จึงมีรูปแบบการใช้งานที่ถูกดัดแปลงพัฒนาไปมากขึ้นกว่าเดิมมาก แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ kenkoon จึงได้เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่พัฒนาและออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้สักและสเตนเลส เพื่อให้สามารถใช้งานในรูปแบบ Amphibian Furniture คือ การใช้งานเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวกันได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

.

Amphibian Furniture ผสานการใช้งานอย่างคุ้มค่า

พื้นฐานของการผลิตเฟอร์นิเจอร์ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอิริยาบถ นั่ง นอน เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ หรือแม้กระทั่งใช้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นจะถูกผสมผสานคุณสมบัติบางอย่างเข้าไป เพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าและความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้งาน จึงทำให้การซื้อเฟอร์นิเจอร์เปรียบเสมือนการลงทุนอย่างหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเฟอร์นิเจอร์บางอย่างถูกผลิตขึ้นมาอย่างจำกัด หรือใช้วัสดุในการผลิตที่ไม่มีในปัจจุบันแล้ว เช่น ไม้บางชนิดที่ไม่สามารถหาได้อีกแล้ว สูญพันธุ์ไปแล้วหรือมีประมาณน้อยมากจนไม่สามารถนำมาเป็นวัสดุได้อีกต่อไป จนกลายเป็นหนึ่งในประเภทของสะสมหรือถือว่าเป็นสมบัติได้ เนื่องจากความหายากทำให้กลายเป็นสิ่งของ Limited ทำมูลค่าของเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้น ๆ ให้เพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตัว

kenkoon เกิดขึ้นจากนักออกแบบที่คลุกคลีกในวงการงานตกแต่งภายใน เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการผลิตผลิตภัณฑ์ของใช้ในเรือให้กับประเทศในแถบยุโรป สแกนดิเนเวีย จนผลักดันให้มาก่อตั้งแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ของตนเอง ทาง kenkoon ต้องการผลิตเฟอร์นิเจอร์ออกมาในรูปแบบ Amphibian Furniture โดยผสมผสานการใช้วัสดุเป็นไม้สักและสเตนเลส ที่ให้ความสวยงามและความคงทน จึงทำให้ทางแบรนด์ถูกเลือกไปเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ให้กับโครงการต่าง ๆ ของโรงแรมไปจนถึงพื้นที่สาธารณะ จนก่อให้เกิดภาพลักษณ์ในสายตาผู้บริโภคว่า kenkoon เป็นแบรนด์ที่มีความหรูหรา อยู่ตามโรงแรมหรือรีสอร์ตต่างๆ แต่ในความตั้งใจหลักของทางแบรนด์ คือ การผลิตเฟอร์นิเจอร์ให้เข้ากับแบบงานออกแบบของสถาปนิก โดยใช้วัสดุที่ทาง kenkoon คัดเลือกอย่างมีคุณภาพ และมีคุณสมบัติที่มากกว่าการใช้งานเพียงที่เดียว

สินค้า Collection แรกของ kenkoon เป็นเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป แต่สิ่งที่แตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ในท้องตลาด คือ การที่ทางแบรนด์ผสมคุณสมบัติบางอย่างลงไปในตัววัสดุ เพื่อให้เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในบ้าน สามารถนำไปใช้ที่กลางแจ้งนอกบ้านได้ด้วย 

การเลือกสีในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของทางแบรนด์ จะเน้นสีที่เป็นธรรมชาติ (Natural Color) เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับตัวอาคาร ทำให้สามารถนำเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ เข้าไปจับคู่ได้ง่าย ซึ่งผลิตภัณฑ์ของทาง kenkoon ใส่ใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทุก Collection จะถูกกำหนดสีและดีไซน์ให้เข้ากันได้ทั้งหมด เมื่อนำมารวมกันจะไม่รู้สึกถึงความแปลกแยกใด ๆ นี่จึงเป็นความพิเศษที่ทำให้ทางแบรนด์ภูมิใจ 

อีกสิ่งสำคัญที่ทางแบรนด์ไม่อยากให้ละเลย คือการดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกวิธี เช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ ควรมีการใช้น้ำมันรักษาเนื้อไม้ (Teak Oil) ทาที่ตัวไม้ทุก ๆ 6 เดือน, สเตนเลส เป็นวัสดุคงทน แค่การเช็ดทำความสะอาดก็เพียงพอแล้ว เท่านี้ก็ช่วยยืดอายุและความสวยงามของเฟอร์นิเจอร์เอาไว้ได้

.

พัฒนาสู่ Universal Design

และทุกก้าวแห่งความสำเร็จของแบรนด์ kenkoon เกิดขึ้นจากความคิดที่ว่า คิดทุกอย่างให้เป็น Universal คือการออกแบบโดยให้ความสำคัญต่อการใช้งานของคนทุกกลุ่ม ไม่ให้เกิดข้อจำกัดในการใช้งาน รวมถึงไม่สร้างข้อจำกัดให้ตนเองในงานออกแบบ สนุกกับจินตนาการเพื่อหาแนวทางในการเดินต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี พอเหมาะ จะทำให้สิ่งนั้นอยู่ได้นาน จึงทำให้แบรนด์กำหนดกลุ่มเป้าหมายของ kenkoon ไว้นั่นคือ การขายผลิตภัณฑ์ไปทั่วโลก ด้วยรูปแบบการใช้งานถูกออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคต ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพื้นที่ ทำการติดตั้งง่าย มีราคาย่อมเยาและเข้าถึงได้ทุกกลุ่มผู้บริโภค

.

สามารถติดตาม kenkoon ได้ที่

บริษัท เคนคูนเอกซ์ จำกัด (kenkoon Thong Lor Showroom)
167/1 ซอย ทองหล่อ 10 แขวง คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
Tel: 02-711-5701

Website: www.kenkoon.com
Facebook: https://www.facebook.com/kenkoonfurniture
Instagram: kenkoonfurniture
Line: @kenkoonfurniture

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ

Everglory ผมเส้นสวยด้วยภูมิปัญญาไทย

Everglory ผมเส้นสวยด้วยภูมิปัญญาไทย

ในยุคปัจจุบันของเรานี้เริ่มก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยมากขึ้น ทาง Everglory International จึงมีความสนใจในเรื่องของสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย เพราะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน จนต้องการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ที่เริ่มมีอายุและประสบปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม ทำให้ขาดความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นผมบาง ผมร่วง ผมขาว ผมแห้งขาดความชุ่มชื้น เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมภายใต้แบรนด์ Catherine ที่ทำมาจากสมุนไพร ไร้สารเคมี สามารถช่วยแก้ปัญหา เสริมบุคลิกภาพที่ดี และช่วยคืนชีวิตชีวาและความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้

.

ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อผู้รักสุขภาพ

จากประสบการณ์ด้าน Personal Care จนกำเนิดเป็นผลิตภัณฑ์ Catherine ขึ้น แต่กว่าจะมีสินค้าออกมาแต่ละชนิด ต้องผ่านทั้งกระบวนการคัดสรรวัตถุดิบธรรมชาติ ทำการวิจัย ทดลองและทดสอบ เพื่อให้เกิดการรับรองเรื่องความปลอดภัย ให้มั่นใจได้ว่าไม่มีผลข้างเคียงกับผู้บริโภค และสามารถแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดกับความต้องการหรือปัญหาของผู้บริโภค จนได้รับการขึ้นทะเบียน ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีคุณภาพ ก่อนวางจำหน่ายออกสู่ท้องตลาด

 

เป้าหมายของ Everglory คือ การช่วยแก้ไขปัญหาด้านเส้นผมให้กับผู้ที่รักสุขภาพ จึงได้มีผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่ไม่ใช้สารเคมี ซึ่งจะเป็นมิตรกับสุขภาพเส้นผมและสุขภาพร่างกายของผู้บริโภคในระยะยาว อีกทั้งผู้ที่ประสบปัญหาด้านเส้นผมนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มผู้สูงวัย แต่ยังพบในกลุ่มวัยหนุ่มสาวบางท่าน ซึ่งมาจากปัจจัยมากมายหลายสาเหตุซึ่งที่พบส่วนมากมักเกิดจากความเครียด ทางแบรนด์จึงคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาหลากหลายสูตรเพื่อให้เหมาะกับปัญหาแต่ละประเภท เช่น

ปัญหาผมร่วง สามารถใช้แชมพูคู่กับเซรัมโสมและวิตามิน เนื่องจากสมุนไพรที่สกัดมาจากโสม และดอกสน มีสารออกฤทธิ์ในการเสริมสร้างรากผมให้แข็งแรง 

ปัญหาผมขาว สามารถแก้ไขด้วยแชมพูปิดผมขาว โดยมีสีให้เลือกได้ถึง 4 สี คือ สีดำธรรมชาติ, สีน้ำตาลเข้ม, สีน้ำตาลแดง และสีน้ำตาลอ่อน หรือหากต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ก็มีสินค้าที่ตอบโจทย์ได้ คือ มาสคาร่าปิดผมขาว เพียงแค่ปาด ก็ปิดได้ทันใจ 

 

เมื่อมีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมส่งออกสู่ตลาด ขั้นตอนต่อมาคือการหาตลาดเพื่อนำผลิตภัณฑ์เข้าหากลุ่มลูกค้า ทางแบรนด์ใช้หลักการ Market Segmentation หรือการจัดแบ่งกลุ่มทางการตลาด มาใช้วิเคราะห์เพื่อค้นหาจุดจำหน่ายที่เหมาะสม ซึ่งได้แก่ ร้านขายสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ และสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายในห้าง Modern Trade, Traditional Trade หรือทางออนไลน์ เกณฑ์การเลือกจุดขายของทางแบรนด์ คือ สถานที่ที่มีผู้บริโภครักสุขภาพเข้าถึงได้ง่าย เกิดการซื้อขายผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในร้านค้าหรือจุดขายที่ทางแบรนด์ต้องนำผลิตภัณฑ์เข้าไปฝากขาย

.

มองการณ์ไกล ชูสมุนไพรไทยสู่ต่างประเทศ

ผลิตภัณฑ์ Catherine ได้ถูกนำมาใช้ต่อยอดให้กับแบรนด์ โดยชูความเป็นไทยและสมุนไพรไทยออกไปสู่ต่างประเทศ เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและได้มีการส่งผลิตภัณฑ์ออกไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนรวมถึงประเทศทางตะวันออกกลาง เพราะประเทศเหล่านั้นมีความนิยมในสมุุนไพรไทยเป็นอย่างมาก นี่จึงถือเป็นโอกาสที่สำคัญในการผลักดันให้แบรนด์เติบโตขึ้นไปอีกขั้น

.

แคร์เธอ ห่วงใยสุขอนามัย ปลอดภัยจากโควิด-19

ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ทางแบรนด์ได้ค้นพบความสามารถและศักยภาพของตนเอง จนเกิดการพัฒนาสายการผลิตขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลเรื่องสุขอนามัยให้กับผู้บริโภค โดยออกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “แคร์เธอ” ประกอบไปด้วย เจลล้างมือแอลกอฮอล์ และ น้ำหอมฉีดผ้าฆ่าเชื้อโรค ซึ่งปัจจุบันทางแบรนด์ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อนำออกมาจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้

.

สิ่งที่ Evergloryใช้เป็นหลักการในการดำเนินธุรกิจเสมอมาคือความซื่อสัตย์ โดยซื่อสัตย์ในเรื่องของคุณภาพ ราคาที่ยุติธรรมเหมาะสม และผลลัพธ์ที่สัญญาไว้กับผู้บริโภคนั่นเอง

.

สามารถติดตาม Catherine ได้ที่

บริษัท เอเวอร์กลอรี่ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด

5 ซอยอุดมสุข 34 ถนนอุดมสุข แขวงบางนาเหนือ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260

Tel: 02-749-4305

Email: info@evergloryinter.com

Website: https://www.evergloryinter.com/

Facebook: https://www.facebook.com/catherineinternational/

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

 

Instagram: catherine_inter

บทความแนะนำ

แนะนำ 10 ธุรกิจที่น่าสนใจในปี 2021 สำหรับคนทำธุรกิจมือใหม่

 

เข้าสู่ปี 2021 แล้วหลาย ๆ คนคงมีการวางแผนที่จะทำธุรกิจส่วนตัว หรืออยากจะออกจากงานประจํา ออกจากลูปเดิม ๆ มาสู่อาชีพอิสระ แต่เชื่อว่าหลายคนที่คิดอยากจะมีธุรกิจส่วนตัวนี้ก็คงคิดถึงความเสี่ยงว่าธุรกิจที่ จะทํานั้นจะไปรอดหรือไม่ โดยในวันนี้เราจะมาวิเคราะห์และแนะนําธุรกิจที่มีแนวโน้มจะเจริญเติบโตและอยู่ รอดในปี 2564 นี้ จะมีธุรกิจไหนบ้างมาดูกัน

 

 

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังคงเป็นธุรกิจที่ยังคงร้อนแรงและทําเงินได้ดีตลอดมา โดยการทําธุรกิจอสังหาฯ ก็คือการพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่าง ๆ เช่นการซื้อ ขายหรือให้เช่าที่อยู่อาศัย อาคารสํานักงาน ศูนย์การค้า นิคมอุตสาหกรรม บ้าน คอนโด รวมทั้งที่ดินด้วย ซึ่งหลายคนคิดว่าการทําธุรกิจประเภทนี้ต้องเป็นนายทุน มีเงินทุนก้อนใหญ่ในการทํา แต่คุณสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเป็นนายหน้า ไม่ว่าจะเป็นนายหน้าขายบ้าน ขายที่ดิน รับฝากคอนโดให้เช่า รับเปอร์เซ็นจากเงินที่ขายได้ ซึ่งอาจจะได้สูงถึง 3-12% ของ มูลค่าอสังหาฯ ที่ขายได้เลยทีเดียว

 

ธุรกิจแฟรนไซส์

หากมีเงินเก็บสักก้อนอยากที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังไม่มีไอเดียว่าจะทําอะไรดี หรือมีธุรกิจในใจอยู่แล้วแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง การซื้อแฟรนไซส์คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งแฟรนไชส์ในปัจจุบันก็มีให้เลือก หลากหลาย ตั้งแต่ร้านอาหาร เครื่องดื่ม การศึกษา และอื่น ๆ รวมทั้งเงินในการลงทุนก็ไม่ได้เยอะมาก แลก กับฐานของลูกค้าและแบรนด์ของแฟรนไชส์ รวมทั้งคําปรึกษาแนะนํา ที่จะช่วยให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของคุณ เติบโตได้ดีอีกด้วย

 

 

ธุรกิจร้านกาแฟ

เป็นธุรกิจในฝันของใครหลายคนที่จะมีคาเฟ่เล็ก ๆ น่ารัก ๆ ซึ่งก็เหมาะกับปี 2021 ที่คนเริ่มนิยมเข้าร้านคาเฟ่กันมากขึ้นเห็นได้จากรีวิวต่าง ๆ บนโซเชียล และนอกจากกาแฟและอาหารที่อร่อยแล้ว ที่ขาดไม่ได้เลย สําหรับคาเฟ่ก็คือมุมถ่ายรูปสวย ๆ ที่จะดึงดูดลูกค้าให้มาเข้าร้าน ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะมีธุรกิจเป็นของ ตัวเองก็อย่ารอช้าเพราะปีหน้า Cafe มาแน่นอน

 

ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกต้องเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 การทําธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจึงเป็นอีกธุรกิจที่จะเติบโตในปี 2021 ทุกคนต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้น ครีมบำรุง อาหารเสริม รวมทั้งการผลิตหน้ากากก็เป็นธุรกิจที่น่าลงทุนในปี 2564 เช่นกัน

 

ขายของออนไลน์

อาชีพยอดฮิตสําหรับการขายของออนไลน์ ไม่ว่าของที่ขายจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ทุกอย่างต้องอาศัยการขายในช่องทางออนไลน์ด้วยถึงจะอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นการทําเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การไลฟ์สดผ่านช่องทางโซ เชียลต่าง ๆ และฝากขายบนร้านค้าออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และอื่น ๆ อีกมากมายทุกอย่างในปี 2021 ต้องเน้นการขายออนไลน์เป็นหลัก

 

ทำสื่อออนไลน์ (Web/ Youtube)

เรียกว่าเป็นธุรกิจแห่งอนาคตเลยก็ว่าได้ จากการทํา content ในเว็บไซต์ของตัวเอง และการทํา vdo อัพโหลดใน ช่อง Youtube ของตัวเอง ซึ่งการทําสื่อออนไลน์นี้ปัจจุบันเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นงานที่อิสระได้ใช้ไอเดียของตัวเองได้เต็มที่ รวมทั้งผลตอบแทนที่ดีแบบไม่ต้องลงทุนอะไรอีกด้วย

 

ร้านบุฟเฟต์ (ชาบู, หมูกระทะ)

สำหรับใครที่อยากมีธุรกิจเป็นร้านอาหารแต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นร้านแนวไหนดี เราขอแนะนําร้านบุฟเฟต์ชาบู หรือหมูกระทะ ซีฟู้ด ถึงแม้ว่าจะมีร้านบุฟเฟต์อยู่แล้วเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ก็รับรองเลยว่ายังเหลือทำเลดีๆ อีกมาก ลองหาวัตถุดิบดี ๆ ราคาไม่สูงมากเพื่อดึงดูดลูกค้าในระยะยาว รับรองเลยว่าปี 2021 นี้รายได้ดี เติบโตไวแน่นอน

 

ตัวแทนจําหน่าย

ตัวแทนจําหน่ายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้คุณได้แบบไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ใช้เพียงความขยันและกลยุทธ์ทางการตลาดในการขายสินค้าชิ้นนั้นเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันก็มีสินค้าหลาย ๆ อย่างให้ขายแบบเป็นตัวแทนขายได้แบบไม่ต้องสต๊อกสินค้า หาลูกค้าที่สนใจสินค้าแล้วค่อยส่งออเดอร์ให้กับร้านค้าต้นทาง เรารอรับเปอร์เซ็นต์จากการขายเท่านี้ก็มีรายได้แบบไม่ต้องลงทุนอะไรแล้ว

 

นำเข้าอะไหล่รถยนต์

ทุกวันนี้ใคร ๆ ก็มีรถยนต์ส่วนตัวกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อมีรถก็ต้องมีการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน บางครั้งอาจจะเป็นอะไหล่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เสียจะเข้าศูนย์ก็ต้องมีค่าช่างประจําศูนย์ที่สูง ดังนั้นก็สั่งอะไหล่จากอู่หรือผู้นําเข้าอะไหล่ข้างนอกจึงเป็นทางเลือกที่ดี ธุรกิจนําเข้าอะไหล่รถยนต์จึงเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะ เจริญเติบโตได้ดีในปี 2021

 

โลจิสติกส์และการขนส่งแบบไร้สัมผัส

เพราะโรคระบาดทำให้การส่งของแบบไม่สัมผัสกัน (contactless) เป็นเรื่องที่ถูกดำเนินการและปรับตัวยอมรับการใช้งานจากผู้บริโภครวดเร็วมากขึ้น DoorDash, Postmates โลจิสติกส์ของอเมริกา มีให้เลือกรับของแบบหย่อนหน้าบ้าน ซึ่งได้รับความนิยมมาก ขณะที่หลายเจ้าเริ่มใช้หุ่นยนต์หรือโดรนในการช่วยส่งของ เช่น Meituan ในอู่ฮั่น ที่เปิดตัวการส่งของด้วยหุ่นยนต์เดลิเวอรี ซึ่งเทรนด์นี้มาแน่นอน

 

จากธุรกิจและอาชีพต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์และการคาดการณ์ เท่านั้น ทั้งนี้ยังมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่จะทําให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโตและทํากําไรได้มาก รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงก็เช่นกัน ดังนั้นลองเอาไอเดียจากธุรกิจที่เรา แนะนําไปศึกษาเพิ่มเติมและวางแผนการตลาดให้ดีมีชัยแน่นอน

 


 

หัวข้อ : ลงทุนอะไรดี? 10 ธุรกิจส่วนตัว และอาชีพอิสระ ที่น่าลงทุนใน ปี 2021
อ่านเพิ่มเติม : www.dbd.go.th/download/article/article_20210621131546.pdf

 

 

 

บทความแนะนำ

SME D Bank พร้อมก้าวสู่ Digital Solution Partner สร้างรากฐานใหม่ให้ SMEs

วิกฤต COVID-19 นั้น ส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจในวงกว้างไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ไล่ลงมาจนถึงระดับ SMEs ซึ่งทำให้ Sector หลักที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจ คือสถาบันการเงินจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยประคองลูกค้าให้สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตครั้งนี้

สำหรับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในฐานะที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจ SMEs ก็มีการออกมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนในหลายมิติด้วยกัน

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank อธิบายว่ามาตรการช่วยเหลือในระยะสั้นของธนาคารประกอบไปด้วย “มาตรการพักชำระหนี้เงินต้น” และ “มาตรการเติมทุน”

“รายละเอียดของมาตรการพักชำระหนี้ คือ คนที่เป็นลูกหนี้หรือมีสินเชื่อกับธนาคาร เราเชื่อว่าหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 มียอดขายและรายได้ที่ลดลง ทำให้มีสภาพคล่องไม่เพียงพอ   จึงออกมาตรการพักการชำระหนี้เงินต้น ซึ่งเป็นมาตรการที่ธนาคารส่วนใหญ่ทำ นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีมาตรการพิเศษที่ทางภาครัฐขอความร่วมมือเพิ่มเข้ามา คือพักการชำระดอกเบี้ยในระยะเวลาที่กำหนด”

        ส่วนในเรื่องของมาตรการเติมทุน ทางธนาคารได้มีการให้ความช่วยเหลือออกมาในหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น

รูปแบบที่ 1 มาตรการที่ทางธนาคารทำงานร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อออกสินเชื่อโครงการพิเศษมาดูแล SMEs ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งมี 2 โครงการคือ 1) สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash กับ 2) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน Local Economy Loan ที่ออกมาช่วยผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวทั้งหมด

รูปแบบที่ 2 จะเป็นมาตรการเติมทุนที่ทางธนาคารได้ทำร่วมกับหน่วยงานของทางราชการ เช่นกระทรวงอุตสาหกรรม หรือจะเป็นหน่วยงานที่เป็น Regulator หรือ Policy Maker เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อจัดตั้งกองทุนเฉพาะกิจขึ้นมาช่วยเหลือ SMEs ในโครงการสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อย หรือ SME One ซึ่งจะเป็นกองทุนที่เข้ามาเติมเม็ดเงินให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs

รูปแบบที่ 3 จะเป็นการเติมทุนที่ทางธนาคารเป็นผู้พัฒนาโปรแกรมสินเชื่อพิเศษ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น สินเชื่อ SMEs D เติมทุน , สินเชื่อ SMEs มีสุข , สินเชื่อ SMEs ยิ้มได้

        นอกจากนี้ทางธนาคารยังได้มีการปรับระบบการทำงานเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการขออนุมัติการพักชำระหนี้ และขอสินเชื่อ เพื่อให้ SMEs ที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายที่สุด

“ตัวอย่างเช่นการยื่นเอกสาร โดยปกติธนาคารจะดูเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของรายได้เป็นหลัก แต่หลังจากที่เราได้รับข้อมูลและพบว่าตัวรายได้ในช่วง COVID-19 อาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริง ธนาคารก็ปรับรูปแบบการให้สินเชื่อ โดยพยายามไปดูในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ผู้ประกอบการใช้ในการประคองธุรกิจ หมายความว่าเราจะพิจารณาจากค่าใช้จ่ายจริงที่เป็นเงินเดือน หรือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องเลี้ยงดูพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ ฯลฯ มาประกอบกับเอกสารหลัก คือประวัติการชำระหนี้ หรือเครดิต บูโรแทนที่จะดูรายได้”

ที่ยกตัวอย่างมานี้ถือเป็น Sandbox ของธนาคารที่ทำร่วมกับทางสสว. ในโครงการ SME One ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้พบว่า สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นกว่าเดิม 3-4 เท่า จากเดิมที่ต้องใช้เอกสาร 12-13 รายการในการยื่นขอสินเชื่อ ก็สามารถลดลงจำนวนเอกสารลงมาเหลือแค่เพียง 5-6 รายการ และเอกสารที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเอกสารที่ SMEs ถือครองอยู่แล้ว เช่น หลักฐานการเสียภาษีเป็นต้น พบว่า SMEs บางรายที่ยื่นเอกสารครบถ้วนจะใช้เวลาในการพิจารณาอนุมัติไม่เกิน 9 วัน

สำหรับมาตรการความช่วยเหลือในระยะยาว นางสาวนารถนารี อธิบายว่า โครงการ SME One ที่ร่วมมือกับ สสว. ถือเป็น Sandbox ที่ปรับปรุงวิธีคิดและกระบวนการทำงานใหม่ ซึ่งเกิด Efficiency ที่ดี ทางธนาคารจึงวางเป้าหมายที่จะขยายแนวคิดนี้มาใช้กับโปรแกรมสินเชื่อทั่วไปของธนาคารในอนาคต เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้เข้าถึงง่ายขึ้น

“อนาคตเราจะดูหลักฐานการทำธุรกรรมเป็นหลัก เช่น คนที่ค้าขายเราจะดูข้อมูลการทำธุรกรรมกับทางซัพพลายเออร์รายอื่นๆ เพื่อเอามาประกอบการพิจารณา มากกว่าที่เราจะยึดโยงแค่เรื่องรายได้, ผลกำไร แต่เราจะดูจุดน่าเชื่อถืออื่นๆ แทน

       นอกจากนี้เราจะเอาแพลตฟอร์มนี้ไป Plug-in กับโครงการสำคัญๆ ของทางภาครัฐหลายโครงการ เช่น กรณีที่ทาง สสว. มีโครงการจัดซื้อจัดจ้างจากทางภาครัฐ เราจะรับรู้ว่าผู้ประกอบการใดมีสัญญาว่าจ้างที่ชัดเจน และต้องการเม็ดเงิน เราก็จะหาทางอนุมัติสินเชื่อกับบริษัทที่มีการทำธุรกรรม มีการจัดซื้อจัดจ้าง โดยดูจาก Transaction เป็นหลัก

        กรรมการผู้จัดการ SME D Bank ย้ำว่ามาตรการให้ความช่วยเหลือของธนาคารที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเพิ่มทักษะในการทำธุรกิจหรือ Reskill, Upskill ให้กับ SMEs เพราะวิกฤต COVID-19 ทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการ SMEs จึงจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน

“เม็ดเงินที่ได้ไปหากใช้ไม่ถูกที่ไม่ถูกทาง เงินก็อาจจะหมดได้ ดังนั้นเราต้องเติมความรู้ด้วย เพราะเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญมาตลอด เนื่องจากธนาคารมีหน้าที่ให้เม็ดเงินควบคู่ไปกับการพัฒนาลูกค้า โจทย์ที่เราคิดไว้ว่าเราจะพยายามพัฒนาในปีนี้ และปีต่อๆไป คือการพยายามที่จะส่งเสริม SMEs ให้เข้ามาสู่โลกดิจิทัล และเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเราจะเป็นกลไกลในการสร้าง Ecosystem เพื่อเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการที่ยังทำการค้าขายแบบ Traditional Trade ให้มาใช้เทคโนโลยี เช่น เอาร้านค้ามาขึ้นแพลตฟอร์มต่างๆ ในระบบที่ได้รับความนิยม หรือระบบที่ภาครัฐเตรียมไว้ให้

การมาเข้าระบบแบบนี้ นอกจากเรื่องเพิ่มช่องทางการขายที่กว้างขึ้น เพราะตอนนี้โลกไร้พรมแดน ข้อดีอีกส่วนหนึ่งคือ ธนาคารจะเห็นการทำธุรกรรม เห็นความเคลื่อนไหวของ SMEs ทำให้สามารถช่วยเติมเงินเข้าไปได้ นี่คือหนึ่งในโจทย์ที่เราวางไว้ และเราจะเพิ่มบทบาทให้มากขึ้น”

ในมุมมองของนารถนารี เขาเชื่อว่าหลัง COVID-19 การทำธุรกิจโดยลำพังจะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นการทำ Collaboration กับหน่วยงานหรือผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ จะช่วยกระจายความเสี่ยงลงได้ ซึ่งทางธนาคารมองว่าเทรนด์ธุรกิจนี้จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของธนาคารที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของ SMEs

“ที่ผ่านมาการทำงานของ SMEs บางรายเขาอาจจะทำงานแบบตัวคนเดียว เพราะฉะนั้นส่วนที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็ม SMEs ได้อีกหนทางหนึ่งก็คือ การมีพี่เลี้ยง มีพี่ใหญ่ หรือมีพาร์ทเนอร์เข้ามาช่วยดูแล ซึ่งทางธนาคารวางเป้าหมายที่จะส่งเสริม SMEs ให้ครบทั้ง Ecosystem ซึ่งอาจจะต้องมี Big Brother เข้ามาช่วยประกบในการดูแล เพื่อชักนำให้เขาขยับขึ้นไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้

       พันธกิจของธนาคารจะเข้ามาส่งเสริม โดยจะดูเรื่องของทรัพยากรคนให้มีความรู้ ความสามารถ และนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ ธนาคารจะวางตัวให้เป็นสถาบันการเงินสร้าง Ecosystem ให้ SMEs ได้เข้ามาใช้บริการทางด้านการเงิน และพัฒนาตัวเอง ผ่านโดยใช้บริการจากประสบการณ์และความชำนาญของพนักงาน ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาให้บริการลูกค้า”

        การยกระดับจากสถาบันการเงินสู่ Digital Solution Partner ในครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายของ SME D Bank ในการสร้าง New Ecosystem ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศไทยที่มีมากกว่า 3 ล้านราย เพราะถ้าทำสำเร็จลุล่วงสามารถดึง SMEs มาเข้าร่วมแพลตฟอร์ม ต่างๆ ทั้งที่ทางภาครัฐได้วางเอาไว้ หรือจะเป็นแพลตฟอร์มของเอกชน จะทำให้ทุกภาคส่วนจะมีข้อมูลที่สำคัญจนกลายเป็น Big Data

“ถ้าเรามีข้อมูล เราจะรู้ความต้องการเราจะได้ออกแบบสินค้าและบริการได้ถูกต้องและตรงจุด ส่วนทาง SMEs เองก็ต้องปรับตัว เราเชื่อว่าหลายคนปรับตัวไปแล้ว แต่อยากให้ผู้ประกอบการมองว่า อะไรคือสิ่งที่ต้องรีบทำ และต้องทำให้อยู่แบบถาวร เช่น เรื่องของการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการให้ความสำคัญกับเรื่อง Hygiene ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญหลัง COVID-19

ที่สำคัญคือ บทเรียนจาก COVID-19 ในครั้งนี้สอนให้เรารู้ว่า การที่ผู้ประกอบการจะกันเงินสำรองไว้เผื่อสภาพคล่องทางการเงินแค่ 2-3 เดือน อาจจะไม่ใช่และจะต้องมีการทบทวนเรื่องการเก็บเม็ดเงินไว้ในยามฉุกเฉินที่เพิ่มมากขึ้น นี่คือความท้ายทายใหม่ของผู้ประกอบการ”

บทความแนะนำ

ศิวาเทล โรงแรมที่เน้นเรื่องความยั่งยืน

ศิวาเทล โรงแรมที่เน้นเรื่องความยั่งยืน 

ศิวาเทล กรุงเทพฯ โรงแรมย่านใจกลางเมืองที่ดำเนินกิจการบนพื้นที่ของครอบครัวจนมาถึงผู้บริหารรุ่นที่ 3 ที่แม้จะปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดที่ยึดมั่นมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ในเรื่องของการรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังเช่นภาษิตดั้งเดิมที่ผู้บริหารทุกรุ่นยึดเป็นหลักในการทำธุรกิจคือ Clean Green Smart ให้สะท้อนออกมาในการดำเนินธุรกิจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  

.

กระจายความเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจ

เริ่มต้นจากอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ใจกลางเมืองในรุ่นคุณปู่ จนพัฒนาเป็นโรงแรม 8 ชั้นในชื่อฮอลิเดย์ แมนชั่น และได้มีการเปลี่ยนแปลงในปี 2552 ในช่วงที่การท่องเที่ยวเติบโตแบบก้าวกระโดด จึงขยายเป็นตึก 32 ชั้น เกิดเป็นศิวาเทลทาวเวอร์ขึ้น ซึ่งในตัวตึกจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือส่วนของออฟฟิศให้เช่า ส่วนของอพาร์ตเมนต์ และส่วนของโรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ ด้วยวิสัยทัศน์ของคุณปู่ที่มองว่าธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหว มักได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ การที่ทำตึกให้รองรับการใช้งานแบบ Mixed-use จึงเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงและช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวธุรกิจ ให้มีรายได้จากหลากหลายทาง ทำให้ศิวาเทลสามารถผ่านพ้นจากทุก ๆ วิกฤติการณ์มาได้

.

ปรับเปลี่ยนเพื่อตอบโจทย์

เดิมโรงแรมได้วาง position ไว้เป็น Business Hotel ด้วยที่ตั้งของโรงแรมอยู่ในย่านเพลินจิต แต่พบว่ากลุ่มลูกค้าส่วนมากกลับเป็นกลุ่มครอบครัวหรือคู่รักที่มาเพื่อการพักผ่อนจริง ๆ และใช้เวลาในห้องค่อนข้างมาก จึงได้มีการ renovate ห้องทั้งหมดให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโดยปรับให้มีความสบายมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดการประหยัดพลังงาน โดยมีการวางระบบภายในแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่โครงสร้างอาคารเดิม เช่น ในห้องพักจะใช้ไฟที่เป็นไฟ LED และใช้เครื่องปรับอากาศที่เป็นระบบควบคุมอุณหภูมิได้ด้วยตัวเอง เพื่อที่ลูกค้าจะสามารถเลือกที่จะปิดหรือเปิดเครื่องปรับอากาศเฉพาะที่ได้ 

นอกจากนี้สิ่งของเครื่องใช้ในห้องพักยังเป็นผลิตภัณฑ์โอทอปจากชุมชนหรือของดีจังหวัดต่าง ๆ โดยนำมารวมกับแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น กล่องกระดาษชำระ ถังขยะ หรือว่าซองใส่อุปกรณ์ในห้องน้ำ ล้วนเป็นงานจักสานที่ทำจากเตยปาหนันจากนครศรีธรรมราช หรือแม้แต่เสื่อที่ใช้จะเป็นเสื่อผักตบชวาที่เป็นแบรนด์ของอโยธยา 

.

สร้างแบรนด์ด้วยการสร้างคุณค่า

ในช่วงที่โรงแรมอยู่ในภาวะการแข่งขันสูง ศิวาเทลเลือกที่จะไม่วิ่งตามเทรนด์หรือทำสงครามราคา แต่หันมาเน้นเรื่องคุณค่าสินค้าและการบริการของตน จากการเรียนรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและนำมาปรับใช้เรื่องการรู้จักตน

จากการวิเคราะห์จุดยืนของแบรนด์ที่เน้นในเรื่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ เพื่อจะได้มีศักยภาพในการส่งต่อความสุขไปยังผู้อื่นต่อไป สิ่งที่เด่นชัดคือเรื่องของอาหารในโรงแรมที่ไม่ได้เน้นแค่ความอร่อย แต่ทำจากวัตถุดิบออร์แกนิคและปราศจากสารเคมีจากชุมชนและเกษตรกรรายย่อยโดยตรง ในเมนูอาหารเช้าสำหรับลูกค้าจะมีแผนที่ประเทศไทยบอกเล่าถึงวัตถุดิบแต่ละอย่าง เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าใจแหล่งที่มาและเพลิดเพลินกับอาหารที่ทำจากวัตถุดิบออร์แกนิคและวัตถุดิบอินทรีย์ได้ทั้งหมด 

อีกสิ่งหนึ่งที่ศิวาเทลใส่ใจคือการลดใช้ขยะ การใช้บริการในโรงแรมจะไม่มีการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทั้งสบู่และแชมพูจะเป็นออร์แกนิคซึ่งไม่มีสารเคมีอันตรายที่จะตกค้างในตัวลูกค้า รวมถึงจะไม่ปนเปื้อนลงไปในแม่น้ำลำคลอง ชุดของใช้ในห้องน้ำจะอยู่ในขวดแบบเติม น้ำดื่มในห้องพักก็จะใช้เป็นขวดแก้ว เนื่องจากธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ผลิตขยะมาก จากวันที่ศิวาเทลเคยผลิตขยะออกมาเดือนละประมาณเกือบเก้าพันกิโลกรัม จนถึงวันนี้สามารถลดการใช้ขยะในโรงแรมได้ถึง 80% 

การที่ศิวาเทลเป็นโรงแรมที่มุ่งเน้นและให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าทุกการใช้จ่ายเพื่อพักผ่อนมีความหมาย เพราะความสุขของลูกค้าจะถูกแบ่งปันไปยังชุมชนและเกษตรกร ผ่านอาหารที่รับประทานและยังได้ร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ทั้งหมดคือคุณค่าและความหมายที่เหนือกว่าเรื่องราคาที่ลูกค้าสัมผัสได้

ศิวาเทลมองว่าการทำธุรกิจที่มีส่วนทำให้ชีวิตผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมดียิ่งขึ้น เป็นสิ่งที่ทำให้มีความภูมิใจมากกว่าผลกำไร และเป็นคุณค่าที่จะส่งต่อไปถึงลูกหลาน ยิ่งไปกว่านั้นยังยินดีที่จะให้โรงแรมอื่น ๆ นำโมเดลนี้ไปใช้เพราะเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อสังคมและประเทศ 

.

เรียนรู้อยู่เสมอ

เพื่อพัฒนาระบบการจัดการที่ยั่งยืน ศิวาเทลจึงมีการเข้าร่วมการอบรมในโครงการต่างๆอยู่เสมอ เช่น โครงการ Green Hotel หรือ Green life เพื่อให้ได้ทราบระบบและแนวทางที่ปฏิบัติอย่างมีมาตรฐานที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบันทึกการใช้พลังงาน การจัดการน้ำเสียและการจัดการขยะ ทั้งยังใส่ใจเรื่องความสุขของพนักงาน เพราะเชื่อว่าหากพนักงานมีความสุขแล้ว จะสามารถส่งต่อความสุขให้ลูกค้าผ่านทางบริการ พร้อมทั้งสร้างจิตสำนึกเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อให้มีเป้าหมายเดียวกัน

รวมทั้งปรับเปลี่ยนความคิดว่าการทำการเกษตรและการหมักขยะเป็นเรื่องยุ่งยากและต้องใช้พื้นที่มาก โดยเรียนรู้เรื่องการปลูก พืชผักสวนครัวในโรงแรม สามารถนำมาใช้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและช่วยลดรายจ่ายได้อีกทางหนึ่ง จากนั้นก็หันมาดูแลเรื่องการลดขยะเศษอาหารโดยการนำมาหมักเป็นปุ๋ยใช้เองและขยะหมักนี้ยังนำมาใช้เป็นดินปลูกผักได้อีกด้วย 

.

จุดยืนชัดเจน สามารถต่อยอดได้ 

การมีจุดยืนการทำงานชัด ทำให้การต่อยอดบริการหรือสินค้าได้ง่ายขึ้น  แม้ในสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ศิวาเทลก็พร้อมที่จะให้บริการใหม่ๆโดยดำเนินงานจากแก่นงานเดิม 

หลังจากนี้ศิวาเทลวางโครงการขยายธุรกิจไปในส่วนการขายวัตถุดิบออร์แกนิค และมีแผนที่จะปรับมุมหนึ่งของร้านอาหารให้กลายเป็นมินิออร์แกนิคบาร์ มี Farmer lunch talk ที่ให้เกษตรกรมาทำเมนูร่วมกับเชฟเพื่อเล่าเรื่องราวเบื้องหลังวัตถุดิบให้ลูกค้าฟัง รวมถึงการวางแผนจัดทริปเยี่ยมชมฟาร์มเกษตรกร และมีแนวคิดที่จะนำภูมิปัญญาไทย มานำเสนอในรูปแบบที่ร่วมสมัยและเพิ่มมูลค่ามากขึ้น ซึ่งจะต่อยอดเป็น workshop ให้ลูกค้าต่อไป

.

ผู้ที่สนใจที่พักหรือบริการ สามารถติดต่อศิวาเทลได้ที่

Sivatel Bangkok 

53 ถนน วิทยุ แขวง ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

Tel02 309 5000

Website: www.sivatelbangkok.com

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ