Siam Delight Group ส่งทองม้วนไทยดังไกลถึงตลาดโลก

Siam Delight Group ส่งทองม้วนไทยดังไกลถึงตลาดโลก

มะพร้าวไทย คือมะพร้าวคุณภาพสูงที่คนทั่วโลกยกย่องว่ามีรสชาติดีที่สุดในโลก จนสามารถส่งออกเป็นสินค้าเศรษฐกิจของประเทศ จะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้มะพร้าวไทยเป็นที่รู้จัก เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยในวงกว้างมากได้ขึ้น คำตอบหนึ่งที่ สยาม ดีไลท์ กรุ๊ป คิด คือการทำให้เป็นขนมที่สามารถรักษารสชาติของมะพร้าวไว้อย่างเต็มเปี่ยม และขนมที่ทำแบบนั้นได้ ก็คือ ทองม้วน ขนมพื้นบ้านของไทยนี่เอง ที่ใช้กะทิคั้นสดมาแปรรูป จึงสามารถเก็บความอร่อยเอาไว้ได้ ทั้ง กลิ่นหอม และรสสัมผัสของมะพร้าวไทยได้ครบถ้วน

สยาม ดีไลท์ กรุ๊ป คือ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพจากสินค้าเกษตรไทย วางจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ Green Ville ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ผลิตจากวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศไทย โดยมีความต้องการทำให้ขนมพื้นบ้าน เป็น Snack ระดับสากลที่สามารถทานได้ทุกโอกาส ทุกเพศ ทุกวัย และทุกที่ทั่วโลก โดยมีสโลแกนว่า “Bite of Happiness” คือความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบ “ความสุข” ในทุก ๆ คำ ด้วยสินค้า ไปสู่ลูกค้าให้กระจายไปทั่วทั้งประเทศไทยและทั่วทั้งโลก

สินค้าภายใต้แบรนด์ Green Ville นั้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผลไม้อบแห้งจากผลไม้สด และ กลุ่มขนมทองม้วน ที่เป็นที่นิยมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้ สินค้าแบรนด์ Green Ville ได้มีการส่งออกไปวางจำหน่ายในประเทศ จีน ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และ สิงคโปร์ และยังคงทำการติดต่อคู่ค้าในอีกหลากหลายประเทศทั่วโลก

 

ใช้ปัญหาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางธุรกิจ

จุดเริ่มต้นจากศูนย์ของคุณพงศ์-พีรพงศ์ คุณเลิศอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม ดีไลท์ กรุ๊ป จำกัด ที่อยากมีธุรกิจของตัวเอง ได้ทำการก่อตั้งกิจการขึ้นด้วยเงินทุนที่เก็บออมมาจากการเป็นพนักงานบริษัท เมื่อปี 2019 ในเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ โควิด-19 กำลังระบาดหนัก เมื่อประเทศไทยประกาศล็อกดาวน์ ทำให้ทุกอย่างถูกหยุดชะงักไปทั้งหมด

คุณพงศ์ใช้การปรับตัว โดยมองว่าปัญหานี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ต้องพัฒนาธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดไปให้ได้ โดยมองข้ามไปข้างหน้าว่า หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย เมื่อทุกอย่างกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติแล้วนั้น จะต้องมีตลาดที่ต้องการสินค้าเกษตรจากประเทศไทยแน่นอน จุดนี้เองที่เป็นการเติมเชื้อไฟให้เร่งพัฒนาสินค้าจนสามารถสร้างแบรนด์ Green Ville ขึ้นมา

 

ประตู สู่โอกาสใหม่ทางธุรกิจ

นอกจากการพัฒนาสินค้าแล้ว สยาม ดีไลท์ กรุ๊ป ยังได้เข้าร่วมโครงการ DTN Business plan award ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และสามารถผ่านการคัดเลือก ได้เป็น 1 ใน 5 ผู้กอบการ ที่ชนะเลิศแผนธุรกิจยอดเยี่ยม จนสามารถเข้าสู่กระบวนการจับคู่ทางธุรกิจกับลูกค้าชาวจีน ในส่วนนี้ได้มีการใช้ประโยชน์จากนโยบาย FTA ของกรมเจรจาการค้าที่มีการเจรจากับรัฐบาลจีน ทำให้สามารถส่งสินค้าได้โดยที่ทางลูกค้าชาวจีนไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าสินค้า นับว่าโครงการนี้เป็นเครื่องมือที่ดีมาก ที่ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ ผู้ประกอบการรายเล็ก สามารถแข่งขันเอาชนะคู่แข่งจากภูมิภาคต่าง ๆ จนสามารถเปิดช่องทางทำธุรกิจในตลาดโลกได้

การเป็นผู้ประกอบการรายเล็กนั้นมีต้นทุนที่จำกัด เพราะฉะนั้นในทุกขั้นตอนของการทำงานจำเป็นที่จะต้องคิดให้ครบทุกกระบวนการ ต้องดูความคุ้มค่าและความเหมาะสมที่จะทำ สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อได้เปรียบของการเป็นผู้ประกอบการรายเล็กนั้น ก็คือความคล่องตัวในการทำงาน ที่สามารถปรับเปลี่ยนแผนตามสภาวะตลาดได้อย่างรวดเร็วทันเวลา และเมื่อคิดจะทำสินค้าใหม่ ๆ ขึ้นมา ผู้ประกอบการต้องมีการศึกษาดูว่า แนวโน้มของตลาดเป็นอย่างไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร และจะมีการวางขายทำตลาดอย่างไร


ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

บริษัท สยาม ดีไลท์ กรุ๊ป จำกัด (สำนักงานใหญ่)

ที่อยู่: 7 ซอยเรวดี 9 ตำบลตลาขวัญ อำเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 11000

โทร: +66 (0) 65-665-9646

อีเมล: info@siamdelight.co.th

เว็บไซต์: www.siamdelight.co.th

 

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม

Facebook: SME ONE

Line: @SMEONE

Youtube: SME ONE

Website: info@smeone.info

TikTok: smeone.info

บทความแนะนำ

dKLEAN สะอาดถึงใจ บริการให้ครบวงจร

 

dKLEAN สะอาดถึงใจ บริการให้ครบวงจร

dKLEAN เป็นบริษัททำความสะอาดครบวงจร ให้บริการจัดหาแม่บ้านทำความสะอาดให้กับสำนักงาน อาคาร ร้านค้า และบริการเพิ่มระดับสุขอนามัยและคุณภาพชีวิต ก่อตั้งโดย คุณเคน-สุขวัฑ กีรติมโนชญ์ และ คุณเดียร์-อินทุอร เห่วซึ่งเจริญ

dKlean เข้าใจว่าทุกพื้นที่มีความหมายสำคัญ จึงพร้อมที่จะทำให้ทุกพื้นที่สะอาดและพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เต็มศักยภาพ และอยากทำให้ทุกๆ วัน เป็นวันที่ดีของทุกคน เหมือนกับประโยคประจำแบรนด์ว่า “dKLEAN Make Your Day ทำให้ทุกวัน...เป็นวันที่ดีสำหรับคุณ”

 

ตั้งใจ...ตั้งแต่ตั้งต้น

จากจุดเริ่มต้นของทั้งคุณเคนและคุณเดียร์ที่เป็นพนักงานเงินเดือน ทั้ง 2 คนต่างเป็นคนที่ทุ่มเท ตั้งใจทำงานหนักอย่างเอาจริงเอาจัง จนวันหนึ่งก็เกิดความคิดที่อยากจะสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา โดยคุยกันว่าถ้าทั้ง 2 คน ต่างเอาความทุ่มเท ตั้งใจ จริงจังที่เป็นอยู่ มาทำธุรกิจของตัวเอง มันก็น่าจะพาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงาน แล้วเปิดธุรกิจทำความสะอาดร่วมกัน

ถึงแม้ว่าบริษัทรับทำความสะอาดจะมีอยู่มากมายในท้องตลาด แต่ทั้งคุณเคนและคุณเดียร์ ต่างมีภาพในใจที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นกำหนดทิศทางให้ธุรกิจ ที่อยากจะทำให้ตัวตนของ dKlean มีความแตกต่าง ด้วยการเป็นผู้ให้บริการทำความสะอาดที่มีมาตรฐานสูง มีภาพลักษณ์ที่ดี และมีความสุขในการทำงาน จึงกำหนดเป็นคุณค่าที่สำคัญ (Core value) ในการให้บริการที่ต้องมี ไว้ดังนี้
- ความใส่ใจในบริการและรายละเอียด
- ความเป็นมืออาชีพ
- ความสุภาพ และมีมารยาท
- ความซื่อสัตย์
- ความมีวินัย

ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้าจดจำและสร้างความเชื่อใจให้ลูกค้าบอกต่ออยู่เสมอ

ความใส่ใจทุกเรื่องเล็กน้อย...สู่ผลตอบรับที่ยิ่งใหญ่

จากความละเอียดใส่ใจในการทำงานและคอยรับฟังผลตอบรับจากลูกค้ามาพัฒนาธุรกิจ ทำให้ dKlean สามารถขยายขีดความสามารถของการให้บริการทำความสะอาด ไปสู่บริการอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ในแบบที่ จัดให้ได้ครบทุกความต้องการของลูกค้า 

ซึ่งบริการของดีคลีน ประกอบด้วย

  1. บริการจัดหาแม่บ้านสัญญาบริการประจำอาคาร –โดยจะออกแบบการบริการ ตามความเหมาะสมของลูกค้า มีการตรวจสอบรายเดือนโดยสายตรวจและได้รับทราบความพึงพอใจจากลูกค้าทุกครั้ง 
  2. บิ๊กคลีน Big cleaning – บริการรับเหมาทำความสะอาดใหญ่ โดยบริการนี้ จะช่วยเก็บรายละเอียดในพื้นที่ต่างๆ ให้สถานที่ที่เพิ่งสร้างเสร็จของคุณลูกค้าพร้อมเข้าอยู่หรือเข้าใช้งาน 
  3. บริการแม่บ้านรายวัน รายชั่วโมง –พร้อมอุปกรณ์และน้ำยา โดยไม่มีสัญญาผูกมัด เลือกรับบริการได้บ่อยตามที่ต้องการ โดยให้บริการเริ่มต้น 3 ชั่วโมง ชั่วโมงละ 250 บาท 
  4. บริการขัด ลอก และลงแว็กซ์พื้น –ให้พื้นที่ดูสะอาดใหม่เสมอ โดยทีมงานประสบการณ์ พร้อมอุปกรณ์แผ่นขัดและน้ำยาที่มีคุณภาพ 
  5. บริการทำความสะอาด ซักโซฟา ซักเก้าอี้ ซักพรม – ทำความสะอาดวัสดุที่กักเก็บฝุ่นด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพระบบ Extraction พ่นและดูดกลับ สามารถขจัดคราบที่ฝังลึก ไม่ก่อให้เกิดคราบและสารตกค้าง 
  6. บริการพ่นฆ่าเชื้อ –ด้วยน้ำยาที่ปลอดภัยกับคนและสัตว์ จาก ECOLAB 22 Multi QUAT 
  7. บริการซักผ้าม่าน – ด้วยการถอด นำกลับมาซัก รีด และนำกลับไปติดตั้ง 
  8. บริการขนทิ้งขยะ –กำจัดขยะที่เทศบาลไม่รับ ไปทิ้งอย่างถูกต้อง ให้บริการด้วยรถกระบะสี่ล้อแบบปิดท้าย ในเขตพื้นที่กรุงเทพ และปริมณฑล

 

เสียงตอบรับจากความพึงพอใจของลูกค้านั้น ทำให้ dKlean ยังคงยกระดับมาตรฐานและพัฒนาการให้บริการอย่างไม่มีหยุด เปรียบเหมือนกับการจุดประทัดที่ดังยาวต่อเนื่อง นำมาซึ่งรางวัลต่าง ๆ เช่น

- รางวัล SME ดีเด่นในการประกวดสุดยอด SME แห่งชาติ ครั้งที่ 14, 2022 จากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

- รางวัลมาตรฐาน SME ในการประกวดสุดยอด SME แห่งชาติ ครั้งที่ 13, 2021 จากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

- รางวัล ระดับดีเด่น (อันดับ1) Smart Enterprise Award ปี 2020  จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กระทรวงพาณิชย์

- รางวัล Success Case อันดับ 1 ปี 2020 จากโครงการ SMEs Grow Up โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DiPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา dKlean เปลี่ยนบันไดที่ใช้ในการพัฒนาธุรกิจแต่ละขั้นไปในทุก ๆ ปี จากขั้นแรกที่สร้างธุรกิจด้วย Connection มาจนถึงปัจจุบันที่ขยายฐานธุรกิจให้กว้างออกไปด้วยการทำ Digital Marketing และในอนาคตก็จะขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นอีก ด้วยการผสมผสานหลากหลายวิธีการเข้าด้วยกันอย่างรอบด้าน และนี่เป็นกลยุทธ์สู่บันไดขั้นต่อไป ที่ dKlean ใช้มาตลอด


ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

บริษัท ดีคลีน ซัพพอร์ต เซอร์วิส จำกัด

ที่อยู่: 15/4 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงทับช้าง
เขตสะพานสูง กทม. 10250

โทร: 090-944-4647, 063-697-9793 

อีเมล: service@dkleanservices.com

เว็บไซต์: www.dkleanservices.com 

Line: @dklean

Facebook: dkleancleaning

 

 

 

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม

Facebook: SME ONE

Line: @SMEONE

Youtube: SME ONE

Website: info@smeone.info

TikTok: smeone.info

 

บทความแนะนำ

สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

 

สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
(Kasetsart Agricultural and Agro-Industrial Product Improvement Institute - KAPI)

ในปัจจุบัน วิธีการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรให้กับภาคเกษตรกร ทางหนึ่งก็คือการนำผลผลิตมาแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบต่างๆ แต่นั่นก็ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น หากมองให้ไกลไปถึงเทคโนโลยีการแปรรูปในอนาคต จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นการพัฒนาเพื่อรองรับการแปรรูปของเหลือทิ้งจากการเกษตรให้เป็นของใช้ที่ไม่ใช่อาหารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าการแปรรูปผลผลิตเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร

สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KAPI) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ทำการค้นคว้า วิจัย จนมีความเชี่ยวชาญ พร้อมรองรับการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร ได้เป็น 3 กลุ่ม ก็คือ

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์พลังงานทดแทน เริ่มตั้งแต่การค้นหาสายพันธุ์พืชพลังงาน ทั้งที่เป็นพืชน้ำมัน และพืชโตเร็วสำหรับนำมาใช้เผาเป็นพลังงานไฟฟ้า หรือผ่านกระบวนการแปรรูปให้อยู่ในรูปแบบเชื้อเพลิงแข็งรูปแบบต่าง ๆ
  2. กลุ่มเส้นใยธรรมชาติและคอมโพสิต เป็นการศึกษาคุณสมบัติและคุณภาพของพืชชนิดต่าง ๆ แล้วนำไปทำการผสมเข้ากับโพลิเมอร์ เพื่อเสริมคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ ให้กับวัสดุ ก่อนจะทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ภาชนะ บรรจุภัณฑ์ ชิ้นส่วนประกอบภายในรถยนต์ ผนังอาคาร
  3. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเครื่องสำอาง ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ สมุนไพรที่เหลือทิ้งจากการเกษตร หรือ อุตสาหกรรมเกษตร เช่น เปลือก หรือเมล็ดต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ยังอุดมคุณค่าทางสารอาหารและแร่ธาตุ นำมาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยวิธีการสกัดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก่อนนำไปวิเคราะห์ฤทธิ์ทางชีวภาพต่าง ๆ เช่น การต้านอนุมูลอิสระ การเสริมภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

บริการจากทางศูนย์
สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลฯ (KAPI) นั้นมีบริการที่พร้อมรองรับทุกโจทย์ปัญหาของผู้ประกอบการ ที่มีวัตถุดิบทางการเกษตรหรือของเหลือจากการเกษตร และยังไม่รู้ว่าจะจัดการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง 

 

ทางสถาบันมีการให้บริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่
บริการให้คำปรึกษา 

ร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์

บริการพัฒนาสูตร และผลิตภัณฑ์ต้นแบบ

บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพวัตถุดิบ

บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์

บริการเครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์

หลักสูตรฝึกอบรม

 

ในปัจจุบัน ทางสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลฯ (KAPI) นั้นมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนโจทย์ในการค้นคว้า วิจัย จากเดิมที่เป็นการตั้งโจทย์จากทางสถาบันเอง มาเป็นการรับโจทย์ปัญหาจริง จากผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นการค้นคว้า วิจัย ที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการได้โดยตรง ซึ่งผลงานวิจัยที่พัฒนาร่วมกันนั้น จะสามารถนำไปถ่ายทอดได้จริง ทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงสังคม ไปจนถึงเชิงสาธารณะ

สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลฯ (KAPI) เองมีความพร้อม และยินดีที่จะช่วยผลักดัน สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย มีการเพิ่มขีดความสามารถด้วยการนำนวัตกรรมไปต่อยอดได้ในเชิงพาณิชย์

 

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร (KAPI)

ที่อยู่: อาคารปฏิบัติการวิจัยกลาง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
50 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

โทรศัพท์: 02-942-8600-3 ต่อ 207

อีเมล: KAPI@KU.TH

เว็บไซต์ : kapi.ku.ac.th

Facebook: KAPI

YouTube: KAPI

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม

Facebook: SME ONE

Line: @SMEONE

Youtube: SME ONE

Website: info@smeone.info

TikTok: smeone.info

บทความแนะนำ

ศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU-FIRST)

ศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU-FIRST)

ศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร (KU-FIRST) เป็นศูนย์กลางในการประสานงาน เพื่อให้องค์ความรู้ และบริการงานทางด้านวิชาการ แก่ผู้ประกอบการด้านอาหาร เพื่อขยายศักยภาพในการให้บริการด้านนวัตกรรมและการสร้างองค์ความรู้ให้กับอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ รวมทั้งการให้คำปรึกษาทางวิชาการ และเป็น technical arm แก่ภาครัฐและเอกชน

โดยทางศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร (KU-FIRST) ได้มุ่งเน้นในเรื่องของคุณภาพ และควารมปลอดภัยของอาหาร เป็นสำคัญ จึงมีการจัดทำซีรี่ส์ สัมมนา เผยแพร่ความรู้ด้านอาหารให้ประโยชน์แก่สาธารณะ เช่น สัมมนาชุดก๋วยเตี๋ยวปลอดภัย, ไส้กรอกปลอดภัย, อาหารทะเลปลอดภัย เป็นต้น โดยมีอาจารย์ นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการสัมมนา

นอกจากนั้นยังมีการจัดทำโครงการทางด้านอาหาร ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อช่วยผู้ประกอบการในการพัฒนาด้านอาหาร โดยแบ่งเป็นหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่ เรื่องการใช้ประโยชน์จากของเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมอาหาร, การพัฒนาอาหารเชิงสุขภาพ, และการปรับปรุงกระบวนการผลิตอาหาร

หรือหากผู้ประกอบการมีความสนใจในด้านสิ่งแวดล้อม ทางศูนย์ก็มีการให้บริการ วิจัย ผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การวางกระบวนการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิด Carbon Footprint เป็นต้น

 

บริการจากทางศูนย์

ศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร (KU-FIRST) ศูนย์พร้อมประสานงาน และให้บริการแก่ผู้ประกอบการด้านอาหารอย่างครอบคลุม ตั้งแต่การให้ข้อมูลเรื่องวัตถุดิบ, การประสานความร่วมมือดูแลเรื่องของการผลิตอาหาร ภาชนะบรรจุ, การวางแผนการตลาด ไปจนถึงการวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แบ่งออกเป็นการให้บริการ ดังนี้

- บริการวิจัยและที่ปรึกษา

- บริการสารสนเทศทางอาหาร

- บริการอบรมบุคลากรด้านอุตสาหกรรมอาหาร

- บริการประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหาร

- บริการทดสอบตลาดและทดสอบทางประสาทสัมผัสสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่

- งานพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตอาหาร

- กลุ่มวิจัยเฉพาะทาง

 

ศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร (KU-FIRST) มีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับคุณภาพอาหารให้เป็นระดับพรีเมียม ทั้งในแง่ของการพัฒนาคุณภาพการผลิตตลอดทั้งกระบวนการไปจนถึงสนับสนุนช่องทางวางจำหน่ายอาหารคุณภาพสูง โดยมีการตั้งร้านค้า The Premium @ KU ที่เปิดรับอาหารจากผู้ประกอบการต่าง ๆ โดยผ่านการคัดสรรคุณภาพเรียบร้อยแล้ว มาวางจำหน่าย 

ศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร (KU-FIRST) นั้นมีความเต็มใจที่จะให้บริการผู้ประกอบการในแวดวงที่เกี่ยวข้องกับอาหารทุกคน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย มีการพัฒนาอย่างก้าวหน้าและยั่งยืน

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่

ศูนย์นวัตกรรมวิทยาการอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU-FIRST)

ที่อยู่: 322 ชั้น 3 อาคารอมรภูมิรัตน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 50 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ 10900

โทรศัพท์: 02-942-8629 ต่อ 1307

โทรสาร: 02-942-7991

อีเมล: kufsp@hotmail.com, kufirst.kufsp@gmail.com

เว็บไซต์ : www.kufirst.center.ku.ac.th



สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม

Facebook: SME ONE

Line: @SMEONE

Youtube: SME ONE

Website: info@smeone.info

TikTok: smeone.info

บทความแนะนำ

beau heartmade เทียนหอมที่ทำด้วยหัวใจ

beau heartmade

เทียนหอมที่ทำด้วยหัวใจ

 

ปกติแล้วการเริ่มต้นธุรกิจของ SMEs ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะมีแรงบันดาลใจเข้ามาเป็นฟันเฟืองสำคัญ แต่กรณีการแจ้งเกิดของ beau heartmade ต้องกล่าวว่า “แรงบันดาลใจ” อย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องบวก “แรงบีบคั้นเข้า” ไปด้วย

เชื่อหรือไม่ว่าเทียนหอม beau heartmade ที่กำลังขายดิบขายดีอยู่บนโลกออนไลน์ตอนนี้ เป็นสินค้าที่เริ่มต้นจากศูนย์ และลองผิดลองถูกโดยคุณโบว์ - นิษฐกานต์ ใจอิ่นแก้ว ผู้ก่อตั้ง ซึ่งคุณนิษฐกานต์ ใช้เวลาเรียนรู้และทดลองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าจะได้สูตรที่ลงตัว 

เบ็ดเสร็จแล้วคุณนิษฐกานต์ ต้องอดทนรอนานกว่า 6 เดือน ถึงจะมีออเดอร์แรกเข้ามา

ระยะเวลา 180 วันสำหรับคนทั่วไปอาจจะดูเหมือนสั้น... 

แต่สำหรับคุณนิษฐกานต์ 180 วันนี้ คือช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิต เพราะเงินสำรองที่เก็บสะสมไว้ตั้งแต่สมัยยังเป็นพนักงานประจำกำลังจะหมดลง จนคุณนิษฐกานต์ถึงกับถอดใจกลับไปสมัครงานประจำอีกครั้ง

ออเดอร์เทียนหอมชิ้นแรกที่กดสั่งซื้อเข้ามานั้น จึงเปรียบเสมือนสายน้ำโชลมใจที่ทำให้คุณนิษฐกานต์มีแรงใจสู้ต่อ ไปและทำให้ beau heartmade เดินทางมาถึงจุดนี้ได้

SME ONE : จุดเริ่มต้นของ beau heartmade มีที่มาที่ไปอย่างไร

นิษฐกานต์ : เริ่มต้นจริงๆ คือโบว์ทำงานประจำเข้างาน 8 โมงเช้าออก 5 โมงเย็นอะไรแบบนี้ แต่รู้สึกว่างานออฟฟิศไม่ตอบโจทย์มาก เราไม่ชอบทำงานที่นั่งอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์นานๆ ตอนนั้นเครียดจัดก็เลยลาออก ออกมาแบบชนิดที่เงินในบัญชีเหลือไม่กี่หมื่น แต่ตอนนั้นรู้สึกอยากพักเพราะเหนื่อย 

พอออกจากงานมาก็เริ่มเล่น TikTok และไปเจอคอนเทนต์พวกจานหินขัด Terrazzo ก็กดเข้าไปดูเรื่อยๆ จนมีร้านหนึ่งขายเทียนแล้วก็ขายจานก็รู้สึกว่าเป็นไอเดียที่ดี ก็เลยเข้า Shopee ไปซื้ออุปกรณ์มาลองทำเองแล้วก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะว่าทำไม่เป็น ตอนนั้นโบว์ไม่รู้จักอะไรเลยเกี่ยวกับเทียนหอม ไม่ได้ชอบอะไรเลย พอมาทำก็เลยเละไปหมด แต่ก็ยังทำอยู่เพราะว่าตกงาน แล้วก็เครียดด้วยก็เลยต้องหาอะไรทำ

ถามว่าแรงบนดาลใจมาจากอะไร ตอนนั้นไม่เชิงว่าไม่มีแรงบันดาลใจ แต่มากกว่าแรงบันดาลใจ คือความครียด โบว์เป็นคนไม่ชอบให้ตัวเองจมอยู่กับอะไรแย่ๆ นานๆ จะต้องหาอะไรทำไม่ให้ตัวเองว่าง เพราะถ้าว่างจะเครียด แล้วโบว์เป็นคนชอบดูบ้านฝรั่งที่ขาวๆ คลีนๆ มันสวย แล้วบ้านแบบนี้มันจะต้องมีเทียน ถ้าเทียนเราไปวางในบ้านแบบนั้นก็คิดว่ามันน่าจะสวย 

โบว์ถามคนนั้นคนนี้ เพราะโบว์เป็นคนไม่ใช้เครื่องหอม ไม่ใช้ก้านหอม  ไม่ฉีดน้ำหอม ไม่รู้เลยว่าการจะทำเทียนหอมต้องมีอะไรบ้าง เรียกว่าเริ่มจากศูนย์เลย โบว์ไล่ถามคนนู้นคนนี้ ถามแม่ค้าใน Shopee ก็มีตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง แล้วก็จับเล็กจับน้อยมารวมๆ กันจนทำออกมาสำเร็จ ก็จับจานกับเทียนมาถ่ายรูปลง โบว์เป็นคนชอบถ่ายรูป ชอบแต่งรูปก็ถ่ายลงไปเรื่อยๆ รวมแล้วเกือบครึ่งปี จนมีออเดอร์เข้ามา โบว์ออกจากงานเดือนมิถุนายน เริ่มเปิดร้านจริงจังคือเดือนกันยายน กว่าจะมีออเดอร์แรกก็ประมาณมีนาคมของอีกปี จริงๆ ตอนนั้นกลับไปสมัครงานใหม่เพราะไม่มีเงินแล้ว แต่ไม่มีบริษัทไหนรับ

SME ONE : ช่วงที่ beau heartmade เริ่มขายสินค้าได้ เจอปัญหาอื่นๆ บ้างหรือไม่

นิษฐกานต์ : ปัญหาส่วนใหญ่ของสินค้าในร้านโบว์เป็นเรื่องแพคเกจจิ้งที่ต้นทุนสูง บวกกับสินค้าที่แตกหักง่าย ตอนนี้เป็นปัญหาหลักๆ โบว์แก้ปัญหาแบบหักดิบนิดนึง คือเมื่อก่อนเราไม่ได้ขายแพง เราก็แพ็คให้ครอบคลุมราคาของ ไม่ให้ขาดทุนเกินไปหรือกำไรไม่ได้น้อยเกินไปก็จะเจอปัญหา คือสินค้าแตกหักตลอด แตกเกือบทุกวัน โบว์เพิ่งจะมาเปลี่ยนราคาเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา อัพราคาให้สูงขึ้นแล้วก็แพ็คอัดแบบสนั่นหวั่นไหวเลย 

ตอนแรกก็คิดว่าลูกค้าจะหายหรือเปล่า เพราะเราเพิ่มราคาเยอะขนาดนี้ คือเขาก็คงตกใจในราคานิดหน่อย แต่เหมือนเขาก็ปรับตัวกันได้ ลูกค้าก็ยังไหลมาเรื่อยๆ ผลตอบรับดีขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าเราแพ็คดีมากจนสินค้าไม่เสียหาย เขาก็เลยเหมือนประทับใจที่เราตั้งใจแพ็ค ก็ถือว่าเวิร์คในตรงนี้ 

 

SME ONE : beau heartmade อยู่ในอุตสาหกรรมสินค้าตกแต่งบ้านมาพักใหญ่แล้ว มองแนวโน้มธุรกิจนี้อย่างไร

นิษฐกานต์ : โบว์เคยไปศึกษามา เขาบอกว่าเทรนด์อุตสาหกรรมเครื่องหอมเป็นอุตสาหกรรมเดียวที่ไม่มีวันถดถอยเลย คือเติบโตขึ้นทุกๆ ปี เราก็รู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว แล้วโบว์ก็รู้สึกว่าร้านของโบว์ยูนีคมากในเมืองไทย เพราะยังไม่ค่อยมีใครทำแบบเรา คืออาจจะมีคนทำบ้าง แต่ร้านของเรามีแม่แบบเยอะที่สุด และก็แปลกที่สุด จุดนี้ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นเจ้าเดียวในเมืองไทย ถ้าเรามีตัวผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ธุรกิจเครื่องหอมในไทยโตขึ้นด้วย

จริงๆ แล้วสินค้าของโบว์เริ่มขายดีตั้งแต่ช่วง COVID-19 แล้ว เพราะว่าคนอยู่บ้านกันเยอะ พวกของตกแต่งบ้านและสวนอะไรแบบนี้ก็จะขายดีขึ้น โบว์ก็ขายดีเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่สินค้าในร้านโบว์จะเป็นสินค้าตกแต่งบ้าน แล้วคนไทยก็ชอบแต่งบ้านแนวฝรั่งเยอะ บ้านที่เป็นขาวๆ คลีนๆ เดี๋ยวนี้เทรนด์มินิมอลก็มาแรง ดังนั้นการขายเทียนก็เข้ากับคอนเซปต์สมัยนิยมปัจจุบันด้วย นอกจากซื้อไปแต่งบ้านแล้วก็ยังมีร้านกาแฟ คาเฟ่ สปาที่นิยมสั่งซื้อไปวางเป็นพร็อพ แล้วก็เป็นสินค้าในร้านเขาด้วย 

 

SME ONE : ปัจจุบัน beau heartmade ขายสินค้าผ่านช่องทางใดบ้าง  

นิษฐกานต์ : หลักๆ คือขายผ่าน IG อินสตาแกรม แล้วก็มีที่ Shopee ตอนนี้ก็กำลังจะเพิ่มช่องทางขายที่ Lazada แล้วก็กำลังจะวางแผนขยายไปตลาดต่างประเทศ ยอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศในปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่จะทักไลน์ส่วนตัวมาให้เราทำราคาให้ เราแล้วก็ส่งเอง ส่วนช่องทางเว็บไซต์ตอนนี้ยังไม่ได้ทำ เพราะโบว์ทำทุกอย่างเองหมดยังไม่มีคนช่วย ก็ต้องค่อยๆ ทยอยทำไป

SME ONE : ทุกวันนี้อะไรคือสินค้าหลักของ beau heartmade   

นิษฐกานต์ : สินค้าหลักยังคงเป็นเทียน แต่ถาดรองก็เริ่มใกล้จะแซงเทียนแล้ว ถือเป็นความโชคดีของโบว์อย่างหนึ่ง เพราะถาดเป็นงานที่โบว์ไม่ได้ตั้งใจทำ แค่ทำเล่นๆ มาขายคู่กับเทียนเฉยๆ เพื่อขายเป็นเซ็ตง่ายๆ แต่ทำไปทำมาลูกค้ากลับชอบ พอเข้าไปดูใน Shopee ก็ไม่มีร้านไหนทำขาย

ปัจจุบันเรามีเทียนหอมประมาณ 250 แบบ 10 กลิ่น ส่วนใหญ่กลิ่นที่ beau heartmade เลือกใช้ เราเลือกจากความนิยมของท้องตลาดมากกว่า โบว์เห็นเยอะที่เมืองไทยที่เขาจะผสมกลิ่นนั้นกลิ่นนี้ ร้านอื่นเขาจะเป็นชื่อกลิ่นแบบอลังการ แต่โบว์ไม่เก่งด้านนี้ก็เลยเอากลิ่นเบสิกที่ลูกค้ารู้จักง่ายๆ เช่น วานิลลา ลาเวนเดอร์ กุหลาบ โบว์จะไม่เน้นขายกลิ่นพิเศษ จะเน้นขายเทียนก็เลยเอากลิ่นแบบเบสิกลูกค้าเข้าใจง่ายๆ ที่นิยมกัน

 

SME ONE : พอขยายธุรกิจไปจนถึงจุดที่ทำคนเดียวไม่ได้ จะหาทางออกอย่างไร

นิษฐกานต์ : ก็คงต้องหาลูกจ้าง โบว์ก็เคยเทรนคนให้มาทำ แต่ด้วยความที่มันเป็นงานฝีมือ ไม่ใช่ของที่โรงงานผลิตได้ แล้วงานฝีมือแบบนี้คนที่ทำต้องมีใจรักถึงจะอยู่ได้ ถ้าคนที่ไม่ค่อยชอบเขาก็จะไม่ค่อยทน โบว์รู้สึกว่าบางคนก็สอนได้ บางคนก็สอนไม่ได้ พอคนสอนได้เขาก็มีเหตุต้องไปทำงานที่อื่น สุดท้ายมันก็อยู่ที่ตัวเรา หากยังไม่มีคนที่มาอยู่ช่วยเราได้จริงๆ ตอนนี้ก็พยายามหาคนที่ชอบทำมาช่วย แต่มันต้องใช้เวลาสอนด้วย

 

SME ONE : ในเชิงการผลิตสินค้าประเภทนี้ลอกเลียนแบบได้ยากหรือง่ายอย่างไร กังวลเรื่องนี้หรือไม่

นิษฐกานต์ : จริงๆ สูตรเทียนหอมก็ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร มีให้ดูในอินเทอร์เน็ตด้วย แต่ความสามารถในการทำก็อาจจะเป็นเคล็ดลับ โบว์รู้สึกว่าใครจะลอกก็ลอกไปเถอะ เพราะจุดที่จะทำให้ธุรกิจของคุณโตได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย  หมายถึงว่าธุรกิจนี้มันไม่สามารถโตขึ้นมาได้ง่ายขนาดนั้น แต่มันประกอบด้วยหลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าคุณทำเทียนได้แล้วคุณจะขายได้ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณทำคอนเทนต์ได้ดีไหม คุณถ่ายรูปสวยไหม คุณส่งออกให้ลูกค้าประมาณไหน คือคุณสื่ออะไรออกไปให้ลูกค้า มันมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ไม่ใช่แค่ว่าคุณทำเทียนได้หรือเปล่า ใครมาถามสูตรโบว์ก็บอกหมด เพราะโบว์รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความลับอะไร มันเป็นการแชร์ประสบการณ์เราด้วย

 

SME ONE : อีกหนึ่งแผนการตลาดที่น่าสนใจคือ beau heartmade มีการแบ่งรายได้จากยอดขาย 10% ไปทำบุญตั้งแต่วันแรก

นิษฐกานต์ : ตรงนี้มาจากการที่โบว์เป็นคนชอบทำบุญ ชอบไหว้พระสวดมนต์ เป็นสายมูนิดนึงเหมือนกัน การที่เราทำธุรกิจแล้วเราช่วยเหลือคน มันจะทำให้เรามีกำลังใจในการไปต่อด้วย เหมือนเราได้สร้างคุณค่าให้กับสังคมด้วย ก็คิดว่าถ้าเรามีเงินพันแล้วให้ร้อยมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะถึงอย่างไรเราก็เป็นคนชอบทำบุญอยู่แล้ว ก็เลยหักเงินจากส่วนนี้ไปทำบุญด้วยเลยดีกว่า ให้คุณค่ากับตัวเอง และเพิ่มความสบายใจกับตัวเราด้วย

SME ONE : นอกจากเทียนกับจานรอง beau heartmade มีแผนจะขยายธุรกิจอย่างไร

นิษฐกานต์ : ตอนนี้เทียนหอมกับจานเริ่มอยู่ตัวแล้ว สิ่งที่อยากทำคือ 1. เน้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น 2. ตั้งใจจะทำผลิตภัณฑ์อื่น เพราะว่าเทียนหอมประยุกต์ได้หลายแบบ โบว์ก็จะทำเทียนอะไรแปลกๆ มากขึ้น เดี๋ยวนี้จะมีเทียนที่เป็นเม็ดทราย เทเป็นเม็ดทรายแล้วก็ปักด้ายเคลือบเข้าไปก็จุดได้เลย แต่เมืองไทยยังไม่มี โบว์ก็จะไปหาข้อมูลเหมือนกันว่าทำอย่างไร ก็จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ หรือไม่ก็อาจจะเพิ่มสินค้าถุงหอม หรือก้านหอม แต่ตอนนี้ขอเน้นพัฒนาเว็บไซต์ให้สมบูรณ์ก่อน

 

SME ONE : คิดว่าอะไรคือ Key success ของ beau heartmade

นิษฐกานต์ : อย่างแรก คือชื่อแบรนด์ เหตุผลที่ตั้งชื่อร้านว่า beau แล้วก็ heartmade เพราะว่าโบว์อยากสื่ออะไรที่ง่ายๆ ออกไปก็เลยเอาชื่อตัวเองบวกกับความตั้งใจจนเป็น beau heartmade ออกมา คอนเซปต์ของเราคือ handmade is heart เป็นงานแฮนด์เมดที่ทำด้วยหัวใจจริงๆ ที่เหลือก็จะเป็นพวกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น แพคเกจจิ้ง และการแพ็คสินค้า โบว์จะทำอะไรที่นอกเหนือจากที่ลูกค้าคาดหวังไว้ตลอด ตรงนี้ก็เป็น key success ของเรามากๆ ลูกค้าจะได้เซอร์ไพรส์ในทุกๆ กล่องที่เขาได้รับไป อะไรแบบนี้จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า โบว์จะไม่มองข้ามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของสินค้าหรือการทำทุกขั้นตอน ถ้าไม่สวยโบว์ทำใหม่ ซึ่งลูกค้าจะสัมผัสได้จากการที่เราตั้งใจทำ มันทำให้โบว์มีลูกค้าประจำเยอะมาก ทุกวันนี้ยอดขายของ beau heartmade เกินครึ่งเป็นลูกค้าประจำ

ที่โบว์จะได้รับคำชมตลอด คือ กลิ่นหอมทะลุกล่อง ตรงนี้เป็นคอนเซปต์ของเรา ลูกค้าจะได้กลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมาเลยตั้งแต่ในกล่อง โบว์จะได้รับคำชมแบบนี้ตลอด ก็เลยเป็นสิ่งที่เราต้องคิดว่าต้องรักษาไว้

SME ONE : อะไรคือความท้าทายของ beau heartmade นับจากนี้ไป

นิษฐกานต์ : โบว์ตั้งใจจะทำร้านเทียน beau heartmade ให้เป็นที่รู้จักทั้งเมืองไทยและเมืองนอก ในเมืองไทยโบว์คิดว่าโบว์ได้อันดับ 1 แล้ว ซึ่งตอนนี้ลูกค้าต่างประเทศให้ความสนใจเยอะมาก ถ้าเราจะตีตลาดเมืองนอกเราทำระบบของเราให้ดี โบว์คิดว่าเราจะต้องหาข้อมูลเพิ่ม เราจะต้องข้ามไปอีกขั้นหนึ่ง คืออยากมีชื่อเสียงในเอเชีย กับอีกหนึ่งความฝันคือ อยากมีร้านที่เป็นคาเฟ่เค้กที่มีเทียนเต็มร้าน เมืองไทยยังไม่ค่อยมีร้านที่มีเทียนใหญ่ๆ แล้วก็มีเค้กด้วย โบว์คิดว่าถ้ามีร้านคอนเซ็ปนี้มันคงน่ารักมากๆ แต่การทำร้านแบบนี้ต้องไปเปิดที่กรุงเทพฯ แล้วมันต้องใช้งบเยอะ 

 

SME ONE : ถ้าอยากจะให้คุณนิษฐกานต์ฝากคำแนะนำสำหรับคนที่อยากจะมาเป็นผู้ประกอบการ SMEs

นิษฐกานต์ : จากประสบการณ์ของโบว์เอง ถ้าใจไม่กล้าพอ หรือเงินไม่หนาพอ อย่าเพิ่งออกจากงานประจำ เพราะโบว์รู้สึกว่ามันเครียดเกินไป ถ้าเรายังรับมือไม่ได้ หรือ Mindset เรายังไม่แข็งแรงพอ มันทำให้เราล้มเหลวได้เลยในจุดนั้น ถ้าจิตใจยังไม่แข็งพออย่าเพิ่งออกจากงาน ให้ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นเราจะเครียด ถ้าเราเครียดเราจะคิดอะไรไม่ออก แล้วเราก็จะกดดันตัวเอง อาจจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือเบิร์นเอาท์ได้ 

บวกกับยุคนี้เป็นยุคที่อะไรต้องไว เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้ไว เขามีอะไรเราก็ต้องปรับตัวตามให้ได้ ส่งของไว ทำให้ไว ด้วยความที่ยุคนี้โลกโซเชียลมีอิทธิพลมาก คนเราก็จะโชว์ แล้วก็จะกดดันตัวเอง ถ้าจะทำธุรกิจคุณต้องเตรียมใจไว้เลยว่ามันจะเจอแต่ปัญหา อย่าคิดแต่ว่ามันจะสำเร็จ มันจะมีปัญหาเข้ามาทุกวัน ถ้าคุณชอบในการแก้ปัญหาหรือการพัฒนาเรื่อยๆ มันก็จะดีกับคุณ แล้วเงินมันก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในชีวิตด้วย ก็เลยแนะนำว่าอย่าเพิ่งออกจากงานประจำ ถ้าเงินยังไม่แข็งแรงพอและจิตใจยังไม่แข็งแรงพอ 

อีกเรื่องที่อยากแนะนำคือ เรื่องการรักษาคุณภาพ ถ้าเราอยากจะอยู่นานๆ สินค้าจะต้องมีคุณภาพ ซื้อใจลูกค้าให้ได้ ตรงนี้จะเป็นคีย์ความสำเร็จด้วย อยากจะแนะนำว่าอย่าทำธุรกิจเพื่อหวังกำไรอย่างเดียว เราควรมีการบริการลูกค้าด้วยในตัว จะทำให้ธุรกิจของเราอยู่ได้นาน 

 

บทสรุป

ความสำเร็จของ beau heartmade มาจากความตั้งใจที่จะสร้างธุรกิจจากงานคราฟ ซึ่งเป็นที่มาของการออกแบบเทียนหอมและถาดในรูปแบบต่างๆ ให้ออกมาเป็นงานศิลปะชั้นสูง จนสามารถตั้งราคาขายแบบพรีเมียมได้ อีกหนึ่งความน่าสนใจที่ทำให้ beau heartmade เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางคือ การใช้โซเชียลมีเดียอย่างอินสตาแกรมเป็นช่องทางการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่รักการตกแต่งบ้านได้เป็นอย่างดี

 

สำหรับช่องทาง SME ONE เพิ่มเติม
Facebook: SMEONE
Youtube: SMEONE
Line: @smeone

บทความแนะนำ